Friday, September 27, 2013

KASUMI and MISTY1

KASUMI คือบล็อกเข้ารหัสด้วยคีย์รหัสขนาด 128-bit และ 64-bit สำหรับใช้ในระบบการสื่อสารโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้งเครือข่ายแบบ UTMS,GSM และ GPRS พัฒนาโดย 3GPP

KASUMI เมื่อถูกใช้ในระบบ UTMS จะใช้อัลกอริทึมส์เพื่อรักษาความปลอดภัยข้อมูลจำนวน 2 อัลกอริทึมส์คือ UEA1 และ UIA1
KASUMI เมื่อถูกใช้ในระบบ GSM จะใช้อัลกอริทึมส์เพื่อรักษาความปลอดภัยข้อมูลคือ A5/3 Key Stream Generator
KASUMI เมื่อถูกใช้ในระบบ GPRS จะใช้อัลกอริทึมส์เพื่อรักษาความปลอดภัยข้อมูลคือ GEA3 Key Stream Generator

การทำ code breaking ของ KASUMI ได้รับการนำเสนอครั้งแรกในปี ค.ศ.2001 โดยนาย Kuhn โดยใช้เทคนิคชื่อว่า Impossible Differential Attack จากนั้นในปี ค.ศ.2003 นักวิจัยประเทศอิสราเอลชื่อ นาย Elad Barkan, Eli Bilham, และ Nathan Keller ได้สาธิตการเจาะระบบ GSM แบบ Man-In-The-Middle Attacks ที่ไม่ได้ใช้ A5/3 cipher และได้เขียนบทความของเรื่องนี้ในปี ค.ศ.2006

ในปี ค.ศ.2005 นักวิจัยประเทศอิสราเอลชื่อ นาย Eli Biham, Orr Dunkelman และ Nathan Keller ได้เผยแพร่การเจาะระบบบล็อกเข้ารหัส KASUMI แบบ Related-Key Rectangle (Boomerang) Attacks ซึ่งสามารถ code breaking ได้สำเร็จ

ในปี ค.ศ.2010 นักวิจัยทั้ง 3 คน (Eli Biham, Orr Dunkelman และ Nathan Keller) ได้เผยแพร่การเจาะระบบแบบใหม่สำหรับเจาะการเข้ารหัสคีย์ A5/3 cipher โดยใช้เทคนิค Related-Key Attack โดยนักวิจัยเหล่านั้นต้องการแสดงให้เห็นว่าการรับประกันความปลอดภัยข้อมูลของ 3GPP โดยใช้ KASUMI ซึ่งพัฒนาโดยใช้พื้นฐานของบล็อกเข้ารหัส MISTY1 (Mitsubishi Improved Security Technology) นั้นไม่มีผลอย่างมีนัยะสำคัญ

สำหรับบล็อกเข้ารหัส MISTY1 (RFC2994) ได้ร้บการวิจัยและพัฒนาในปี ค.ศ.1995 โดยนักวิจัยชาวญี่ปุ่นคือ นาย Matsui Mitsuru,  Ichikawa Tetsuya, Sorimachi Toru, Tokita Toshio และ Yamagishi Atsuhiro แต่วิธีการเจาะรหัสคีย์ KASUMI ของนักวิจัยประเทศอิสราเอลทั้ง 3 คน ไม่สามารถนำไปใช้ได้กับบล็อกเข้ารหัส MISTY1

ที่มา:
KASUMI http://en.wikipedia.org/wiki/KASUMI
MISTY1 http://en.wikipedia.org/wiki/MISTY1

Thursday, September 26, 2013

พระกริ่งพุทธนิมิต ฉลองสมศักดิ์ สมเด็จพระวันรัต วัดบวรฯ

พระกริ่งพุทธนิมิต ฉลองสมศักดิ์ สมเด็จพระวันรัต  (จุนท์ พฺรหฺมคุตฺโต)  วัดบวรนิเวศวิหาร (๕ ธ.ค. ๕๒) 

เนื้อทองคำ (สร้าง ๑๒ องค์)
  เนื้อนวะโลหะ (สร้าง ๓๐๐ องค์) องค์ที่ ๑-๘


เนื้อกะไหล่ทอง (สร้างประมาณ ๒๘๓๐ องค์...แจกในพิธี ๕ ธ.ค.๕๒) องค์ที่ ๑-๔


สมเด็จพระวันรัต (จุนท์ พฺรหฺมคุตฺโต)



สมเด็จพระวันรัต (จุนท์ พฺรหฺมคุตฺโต) (นามเดิม: จุนท์ พราหมณ์พิทักษ์) เป็นพระสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย ดำรงตำแหน่งรักษาการแทนเจ้าคณะใหญ่ธรรมยุต กรรมการมหาเถรสมาคม และแม่กองธรรมสนามหลวง ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร และผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดมกุฏกษัตริยาราม ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระราชาคณะ ชั้นสุพรรณบัฏเมื่อปี พ.ศ. 2552 โดยมีราชทินนามตามจารึกในสุพรรณบัฏว่า สมเด็จพระวันรัต ศรีวชิรญาณวงศวิวัฒ ปริยัติพิพัฒนพงศ์ วิสุทธิสงฆปริณายก ตรีปิฎกโกศล วิมลคัมภีรญาณสุนทร ธรรมยุตติกคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี อรัญวาสี

ประวัติ
สมเด็จพระวันรัต มีนามเดิมว่า จุนท์ พราหมณ์พิทักษ์ เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2479 ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 11 ปีชวด ณ บ้านเกาะเกตุ ต.ชำราก อ.เมือง จ.ตราด โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายจันทร์และนางเหล็ย พราหมณ์พิทักษ์ ท่านสำเร็จการศึกษาชั้นประถมปีที่ 4 จากโรงเรียนวัดคิรีวิหาร ต.ชำราก อ.เมือง จ.ตราด จากนั้น ได้เข้าพิธีบรรพชา เมื่อวันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคม 2491 ณ วัดคิรีวิหาร ต.ชำราก อ.เมือง จ.ตราด โดยมี พระวินัยบัณฑิต เป็นพระอุปัชฌาย์ กระทั่งอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ ได้เข้าพิธีอุปสมบท เมื่อวันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม 2499 ณ พระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร โดยมี สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (ม.ร.ว.ชื่น สุจิตโต) เป็นพระอุปัชฌาย์, พระวินัยบัณฑิต (ถาวร ฐานุตตโร) วัดคิรีวิหาร จ.ตราด เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระครูวิสุทธิธรรมภาณ (แจ่ม ธัมมสาโร) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ หลังอุปสมบท ได้ศึกษาพระปริยัติธรรม จนสอบได้ประโยคเปรียญธรรม 9 ประโยค จากสำนักเรียนวัดบวรนิเวศวิหาร


ในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ วันที่ 15 พฤศจิกายน 2551 สมเด็จพระวันรัต ขณะดำรงสมณศักดิ์ที่ พระพรหมมุนี ได้ปฏิบัติหน้าที่พระเถระชั้นผู้ใหญ่ นั่งพระเสลี่ยงกลีบบัว (พระยานมาศพระนำ) และราชรถน้อย (รถพระนำ) อ่านพระอภิธรรมนำขบวนพระอิสริยยศ ในการเคลื่อนพระศพ จากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท สู่พระเมรุ ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง

รวมทั้งในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี วันที่ 9 เมษายน 2555 สมเด็จพระวันรัต ได้ปฏิบัติหน้าที่พระเถระชั้นผู้ใหญ่ นั่งพระเสลี่ยงกลีบบัว (พระยานมาศพระนำ) และราชรถน้อย (รถพระนำ) อ่านพระอภิธรรมนำขบวนพระอิสริยยศ ในการเคลื่อนพระศพ จากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท สู่พระเมรุ ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวงอีกวาระหนึ่ง


ส่วนภาระหน้าที่พิเศษ ยากที่จะหาผู้ใดทำหน้าที่นี้ได้ในยุคปัจจุบัน คือ การที่ได้รับมอบหมายจากเถรสมาคมเป็นผู้ตรวจสอบการคำนวณปฏิทินหลวง (ปฏิทินจันทรคติของไทย) และให้ความเห็น ก่อนที่จะประกาศใช้ ในแต่ละปี นอกจากนี้ยังเดินหมุดและคำนวณปฏิทินปักขคณนาสำหรับวันลงอุโบสถให้กับคณะสงฆ์ธรรมยุตด้วย

เกิด     17 กันยายน พ.ศ. 2479
อุปสมบท     8 กรกฎาคม พ.ศ. 2499
พรรษา     57
อายุ     76
วัด     วัดบวรนิเวศวิหาร
จังหวัด     กรุงเทพมหานคร
สังกัด     ธรรมยุตินิกาย
วุฒิการศึกษา     ป.ธ.9 น.ธ.เอก
ตำแหน่งทางคณะสงฆ์     รักษาการแทนเจ้าคณะใหญ่ธรรมยุติกนิกาย,แม่กองธรรมสนามหลวง,กรรมการมหาเถรสมาคม


ที่มา wikipedia  
Credit ภาพ: พระกริ่งพุทธนิมิต ฉลองสมศักดิ์ สมเด็จพระวันรัต วัดบวรฯ, กระรันตีพระ.คอม

Sunday, September 22, 2013

ตลาดหุ้น …. สถานที่แห่งการฝึกตน

เป็นเหมือนผมไหมครับ ก่อนเข้าตลาดหุ้น รู้สึกไม่แน่ใจ ไม่รู้อะไรซักอย่าง เราก็ศึกษาจนคิดว่าเข้าใจ จนคิดว่ามั่นใจจะทำเงินในตลาดได้บ้าง

แต่พอเข้ามาในตลาดจริง กลับพบว่า สิ่งที่ตัวเองรู้มา แทบจะต้องโยนตำราทิ้งทั้งหมดที่เคยเรียนแล้วเริ่มนับหนึ่งใหม่ ซึ่งพอเริ่มนับหนึ่งใหม่ เรียนรู้กันใหม่ ก็ทำให้มีกำลังใจ มีความมั่นใจกลับคืนมาอีกครั้ง
แต่ผ่านไปอีกซักพัก Mr.Market ก็เล่นงานเราอีกครั้งด้วยการทำให้เห็นว่า สิ่งที่เรารู้มามันผิดอีกแล้ว และตลาดก็ทำแบบนี้ซ้ำๆกับนักลงทุนหน้าใหม่และหน้าเก่าทุกคนที่เข้ามา จนหลายคนหันหลังให้กับตลาดหุ้นไปไหนที่สุด

แท้จริงแล้ว ตลาดหุ้น เป็นสถานที่ที่แสดงให้เห็นสัจธรรมของโลกให้เราได้เห็นชัดเจนมากที่สุด นั้นก็คือ เปลี่ยนแปลงตลอด ควบคุมไม่ได้ ไม่มีความแน่นอน

ซึ่งคุณสมบัติของตลาดหุ้นที่ผมบอกไปนั้น มันออกจะขัดใจ และขัดกับหลักสามัญสำนึกของผู้ประกอบการ ผู้บริหารบริษัท และมนุษย์เงินเดือนตาดำๆหาเช้ากินค่ำ เพราะสิ่งที่เขาเหล่านั้นต้องการก็คือ “ความแน่นอน” ของรายได้และผลตอบแทน แต่เขากลับเข้ามาอยู่ในสถานที่ที่แสดงให้เห็นความไม่แน่นอนที่ชัดเจนที่สุดบนโลกใบนี้ที่เรียกว่า “ตลาดหุ้น”

แล้วในตลาดหุ้น มันมีความแน่นอนอยู่ไหม?

มีครับ ความแน่นอน 3 ประการของตลาดหุ้นก็คือ
1. ตลาดหุ้น มีวัฏจักรตามเศรษฐกิจ มีขึ้นย่อมมีลง มีลงย่อมมีขึ้น
2. ตลาดหุ้น มีทั้งหุ้นคุณภาพดี และหุ้นที่ไม่มีคุณภาพ
3. ตลาดหุ้น มีนักลงทุนที่เตรียมความพร้อมมาอย่างดี และมีที่หวังจะเข้ามาแสวงหากำไรระยะสั้น

มีเซียนหุ้นในตลาดคนหนึ่งเคยบอกกับผมตอนผมเข้าวงการใหม่ๆว่า เมื่อคุณอยู่ในตลาดหุ้นมานานพอ คุณจะรู้จักตัวตนของคุณดีขึ้น และเมื่อจักตัวตนดีขึ้น เมื่อนั้นการทำกำไรในตลาดหุ้นก็เป็นเรื่องที่ไม่ยากจนเกินไป

ตอนแรกผมก็สงสัยว่า รู้จักตัวเอง แล้วมันเกี่ยวอะไรกับกำไร? แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็ได้เข้าใจว่า เมื่อเราตั้งความคาดหวังจากการลงทุนอย่างเหมาะสม เข้าใจทั้งสัจธรรมของตลาด และเข้าใจทั้งตัวตนของตัวเองแล้ว เราจะเริ่มหาแนวทางที่เป็นธรรมชาติของตัวเอง ไม่ฝืนเกินไป ไม่หย่อนเกินไป ซึ่งสร้างภาวะแห่งสติ และหยั่งรู้ความเป้นไปของตลาดมากขึ้น สิ่งนี้มาจากการ Trail & Error คือการลองผิดลองถูกมาแบบนั้นครั้งไม่ถ้วน และนักลงทุนแต่ละปัจเจกบุคคลก็มีจุดที่เหมาะสมของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน นั้นจึงเป็นสาเหตุที่ว่า ถึงแม้เราจะลอกวิธีของเซียนคนไหนมาแบบ 100% มันก็ยังไม่ใช่เครื่องการันตีผลตอบแทนว่าจะได้เหมือนเซียนคนนั้นไปตลอด เพราะยังไงเสีย ก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่เราต่างจากเซียนคนนั้นอยู่ดี นั้นก็คือ “นิสัย”

หน้าที่ของนักลงทุนที่สำคัญและไม่ควรละเลยอีกอย่างหนึ่งเลยก็คือ การฝึก “นิสัย” ให้เหมาะและเอิ้อกับการลงทุน และมันจะมีที่ไหนที่ดีไปกว่าตลาดหุ้นอีกล่ะครับ ในเมื่อความเปลี่ยนแปลงที่เราเห็นอยู่ทุกวัน มันยิ่งช่วยให้เราเห็นนิสัยแย่ๆของตัวเองได้เร็วกว่าคนที่อยู่นอกตลาด เห็นหมดนิสัยแย่ๆ เห็นความโลภ (เห็นเพื่อนรวยหุ้น ก็อยากรวยบ้าง) เห็นความใจร้อน (ชอบหุ้นปั่น มันส์สะใจ) เห็นความประมาท (ใช้หูเล่น แทนที่จะใช้สมองวิเคราะห์) รู้ก็รู้ว่าเป็นแนวทางที่ไม่ดี แต่ก็เลิกไม่ได้ชิมิ

เปลี่ยนมุมมองนะครับ กำไรจากตลาดหุ้น มันไม่มีเส้นชัยที่แน่นอนมาเป็นตัววัด เกมส์การลงทุน เป็นเกมส์ที่ต้องเล่นกันทั้งชีวิต และเมื่อต้องอยู่กับมันไปตลอด และสู้รบตบมือกับฝรั่งอันชาญฉลาด กองทุนอันร้ายกาจ และป๊อบเทรดสุดโหด จะสู้แบบนี้ไปเรื่อยๆจริงๆหรือ? เรามาใช้ตลาดหุ้นเป็นสถานที่แห่งการฝึกตนกันดีกว่า เพื่อเวลาเจอวิกฤตในคราวหน้า เราจะได้หาโอกาสเจอ และได้ประโยชน์จากมันทุกครั้งไป

ที่มา: MR.MESSENGER

Monday, September 16, 2013

หลักการพื้นฐานการลงทุนในหุ้น

5 คำแนะนำสำหรับการลงทุนในหุ้น และ Economic Moat กับความได้เปรียบทางการแข่งขันของบริษัท

การลงทุนในหุ้น คือการซื้อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนซึ่งให้สิทธิการเป็นเจ้าของในบริษัทนั้นๆ ตามจำนวนหุ้นที่ถือครอง แม้คำว่า “งบการเงิน” และ “การบัญชี” อาจจะทำให้หลายคนรู้สึกกลัวและไม่อยากทำความเข้าใจกับมัน แต่นี่คือภาษาทางธุรกิจซึ่งนักลงทุนจำเป็นต้องรู้ก่อนจะลงทุนในหุ้นของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง อย่างไรก็ตาม นักลงทุนไม่จำเป็นต้องมีความรู้อย่างนักบัญชี หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนก็สามารถที่จะเข้าใจพื้นฐานของงบการเงินที่สำคัญสามอย่าง คือ งบกำไรขาดทุน งบดุล และงบกระแสเงินสด ที่ช่วยแสดงถึงผลการดำเนินงานและความมั่งคั่งของบริษัทได้

เมื่อนักลงทุนคิดว่าตัวเองได้พบบริษัทที่มีประสิทธิภาพ (เหนือกว่าบริษัททั่วไป) แล้ว สิ่งต่อมาที่นักลงทุนควรค้นหาก็คือ ราคาตลาดตอนนี้เป็นราคาที่นักลงทุนควรจะเข้าไปซื้อหรือไม่ เช่นเดียวกับการซื้อสินค้าเราคงไม่อยากซื้อสินค้าที่ดี แต่ราคาแพงเกินกว่าที่ควรจะเป็น หุ้นก็เช่นเดียวกัน นักลงทุนคงไม่ต้องการซื้อบริษัทในราคาที่แพงเกินความเป็นจริง

การจะค้นพบบริษัทที่มีประสิทธิภาพที่เหนือกว่าบริษัททั่วไปนั้น นักลงทุนจะต้องทำการบ้านหนักพอสมควรในการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท ประกอบกับนักลงทุนบางคนอาจมองว่าการลงทุนด้วยตัวเองจะทำให้ไม่สามารถกระจายความเสี่ยงของพอร์ตโฟลิโอได้เท่าที่ควร ทางออกที่นักลงทุนเหล่านี้เลือกจึงเป็นการลงทุนในกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นแทนการลงทุนในหุ้นรายตัว  อย่างไรก็ตาม หากนักลงทุนต้องการจะเพิ่มหุ้นเฉพาะตัวลงไปในพอร์ตการลงทุน มอร์นิงสตาร์ได้แนะนำแนวทางการลงทุนไว้ 5 ข้อด้วยกัน คือ

1. มองหาบริษัทที่มี Wide Moat (Moat ในที่นี้หมายถึงความได้เปรียบทางการแข่งขันของบริษัท)

ก่อนอื่น เรามาทำความรู้จะกับคำว่า Economic Moat กันก่อน คำนี้เป็นคำที่ตั้งขึ้นโดย วอเรน บัฟเฟต ซึ่งเป็นตัวบ่งบอกว่าบริษัทมีความสามารถในการแข่งขัน (competitive advantage) มากน้อยและยั่งยืนเท่าใด บริษัทที่มี Wide moat มักอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีความได้เปรียบในการทำกำไร และเป็นบริษัทที่มีปัจจัยทางโครงสร้างที่ทำให้ได้เปรียบคู่แข่งในระยะยาว บริษัทเหล่านีจึงเป็นบริษัทที่นักลงทุนสามารถที่จะคาดการณ์ผลกำไรในอนาคตได้ อีกทั้งบริษัทจะมีผลตอบแทนของเงินทุน (Return on Capital) ที่สูงกว่าต้นทุนของเงินทุน (Cost of Capital) และสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว

ข้อได้เปรียบของบริษัทที่มี Wide moat นั้นคือ มีความเป็นไปได้สูงที่เมื่อเวลาผ่านไปมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทจะเพิ่มขึ้นและทำให้มูลค่าในส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มตามไปด้วย พูดได้ว่าเวลาเป็นตัวช่วยส่งเสริมบริษัทเหล่านี้   แต่ในทางกลับกัน หากนักลงทุนซื้อหุ้นในบริษัทที่ไม่มี Wide moat เมื่อเวลาผ่านมูลค่าหุ้นของบริษัทอาจลดลง การซื้อหุ้นพวกนี้ก็เหมือนกับว่านักลงทุนกำลังคาดหวังให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นมากพอจนนักลงทุนสามารถขายเพื่อทำกำไร หรือที่เรียกว่าการเก็งกำไรนั่นเอง แม้ว่ามอร์นิ่งสตาร์เองยังไม่ไม่มีการให้อันดับ Economic Moat สำหรับหุ้นไทยเหมือนในต่างประเทศ แต่ว่านักลงทุนก็สามารถวิเคราะห์จากบริษัทที่คุณสนใจอยู่ได้เองว่ามี Moat หรือไม่ โดยดูจากงบการเงิน และหลายๆปัจจัย เช่น มูลค่าและความยั่งยืนของสินทรัพย์ไม่มีตัวตน (ยี่ห้อ สิทธิบัตร ฯลฯ) ความได้เปรียบด้านต้นทุน (cost advantage) เครือข่ายของผู้บริโภค (network effect) ต้นทุนในการเปลี่ยนการใช้สินค้าหรือบริการของผู้บริโภค (switching cost) และธุรกิจที่เป็นผู้นำในตลาดที่มีขนาดจำกัด (efficient scale)

2. ลงทุนเฉพาะในหุ้นที่เห็นว่ามี Margin of Safety

ในการซื้อหุ้น แทนที่เราจะซื้อหุ้นตามคนส่วนใหญ่ เราควรจะซื้อหุ้นที่เราเห็นว่าราคาตลาดขณะนั้นตำกว่ามูลค่ายุติธรรม (Fair value) หรือมูลค่าที่แท้จริงที่เราประเมินไว้  การซื้อหุ้นแบบนี้ ส่วนต่างของราคาที่จ่ายกับมูลค่าที่แท้จริงของหุ้นที่ได้รับจะถือเป็นกำไรของนักลงทุน ที่เราเรียกว่า Margin of Safety โดยนักลงทุนไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงเรื่องทิศทางโดยรวมของตลาดหุ้นเพราะไม่มีใครสามารถคาดการณ์ตลาดได้ถูกต้องตลอดเวลา ดังนั้นในการซื้อหุ้นนักลงทุนควรต้องฝึกฝนอย่างมีวินัยและต้องไม่กลัวว่าจะพลาดโอกาสหากไม่ซื้อหุ้นในช่วงที่ตลาดขึ้น ความอดทนจึงถือเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับนักลงทุน เนื่องจากหุ้นดีๆอาจต้องใช้เวลาหลายเดือนหรือนานกว่านั้นกว่าที่จะแสดงให้เห็นถึงมูลค่าที่แท้จริงของมัน

แน่นอนว่า ในการจะตรวจสอบหุ้นที่ซื้อขายกันในตลาดว่ามี Margin of Safety เพียงพอหรือไม่นั้น นักลงทนต้องประมาณการณ์มูลค่าที่แท้จริงของหุ้นตัวนั้นเสียก่อน และกำหนด Margin of Safety ที่นักลงทุนต้องการก่อนซื้อหุ้น ถ้าหากบริษัทมีความเสียงไม่มากนัก นักลงทุนอาจต้องการซื้อในราคาที่ถูกกว่ามลค่าที่แท้จริงประมาณ 15-20% แต่ถ้าบริษัทมีความเสี่ยงมาก คุณอาจต้องการซื้อในราคาที่ถูกกว่ามูลค่าที่แท้จริงประมาณ 30-40% ซึ่งค่าของ Margin of Safety นี้จะเปลี่ยนไปตามความต้องการของนักลงทุนแต่ละคน

การซื้อหุ้นโดยใช้หลัก Margin of Safety นั้นก็เหมือนกับว่านักลงทุนได้สร้างหลักประกันไว้ส่วนหนึ่งแล้ว หากเกิดกรณีที่การประเมินมูลค่าหุ้นของนักลงทุนผิดพลาดไปนักลงทุนก็อาจจะไม่เสียหายมากนัก นอกจากนี้ หากนักลงทุนซื้อหุ้นในบริษัทที่มี Widemoat มูลค่าหุ้นของนักลงทุนก็มีโอกาสที่จะเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ดังนั้น แม้ว่านักลงทุนจะทำการประเมินมูลค่าหุ้นพลาดไปบ้าง แต่ท้ายที่สุด มูลค่าของหุ้นก็จะยังเพิ่มขึ้นไปจนถึงมูลค่าที่แท้จริง การซื้อหุ้นบริษัทที่มี Widemoat นั้นจึงเปรียบได้กับการเพิ่ม Margin of Safety เข้าไปในการลงทุนด้วยอีกทางหนึ่ง

3. อย่ากลัวที่จะถือเงินสด

การถือเงินสดนั้น เปรียบเหมือนการมีทางเลือกที่จะหาประโยชน์จากความผันผวนของตลาด มูลค่าของทางเลือกนี้จะเพิ่มขึ้นเมื่อความผันผวนของตลาดมากขึ้น นั่นก็คือ ภาวะที่ตลาดมีความผันผวนนั้นอาจเปิดโอกาสให้นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นในบริษัทที่มี Wide moat ที่ราคาตลาดได้ปรับตัวลดลงได้ทันที เนื่องจากนักลงทุนมีเงินสดในมืออยู่แล้ว

นักลงทุนหลายคนมักจะละเลยข้อสำคัญในการลงทุนข้อนี้ไปและเลือกที่จะลงทุนให้เต็มวงเงินที่มีสำหรับพอร์ตโฟลิโอโดยไม่ถือเงินสดไว้ หรือแม้แต่นักการเงินที่รับบริหารเงินให้นักลงทุนก็ยังรู้สึกว่าพวกเขาควรจะลงทุนเต็มจำนวนอยู่ตลอดเวลาแม้ว่ายังไม่มีโอกาสซื้อที่เหมาะสมก็ตาม ดังนั้น เมื่อตลาดอยู่ในช่วงขาลง พวกเขาจึงได้แค่มองดูอยู่เฉย ๆ (หรือที่แย่ไปกว่านั้น อาจจะขายหุ้นทิ้งในราคาที่เกือบต่ำสุด)

4. อย่ากลัวที่จะถือหุ้นเพียงไม่กี่ตัว

วอเรน บัฟเฟต กล่าวว่า “เขามีความสุขแม้ว่าจะถือหุ้นเพียงแค่ตัวเดียว” แต่สำหรับนักลงทุนทั่วไปนั้น การมีหุ้นสัก 5-6 ตัวในพอร์ตโฟลิโออาจเป็นความคิดที่ดี ถ้าในกรณีที่นักลงทุนรู้สึกว่าเขาต้องการถือหุ้นมากกว่า 20 ตัวซึ่งอาจไม่ได้เป็นไปตามแบบ Value Investing (การลงทุนแบบเน้นคุณค่า) และวิธีของมอร์นิ่งสตาร์ อาจเป็นไปได้ว่านักลงทุนกำลังซื้อหุ้นเพื่อเก็งกำไรและพยายามกระจายความเสี่ยงของการเก็งกำไรโดยการถือหุ้นหลายตัว อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรจะเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า ความเสียงจะเพิ่มขึ้นหากพอร์ตโฟลิโอมีการกระจุกตัวมากเกินไป เว้นไว้เสียแต่ว่านักลงทุนจะลงทุนตามวิธีต่อไปนี้

1. ซื้อหุ้นบริษัทที่มี Wide moat เท่านั้น ซึ่งมูลค่าที่แท้จริงจะเพิ่มขึ้นตามเวลา

2. ซื้อหุ้นเหล่านั้น เมื่อราคาต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรม (Margin of Safety)

3. ระยะเวลาการลงทุนควรมีอย่างน้อย 3 ปีสำหรับการลงทุนในหุ้นแต่ละตัว และต้องไม่ลืมว่าหุ้นอาจใช้เวลาซักระยะกว่าที่ตลาดจะสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของบริษัท

ถ้านักลงทุนไม่ต้องการทำตามวิธีสามข้อนี้ในหุ้นทุกตัวที่ซื้อ นักลงทุนอาจต้องกระจายความเสี่ยงของการลงทุนในพอร์ตโฟลิโอให้มากขึ้น

5. อย่าซื้อขายบ่อย

ถ้านักลงทุนใช้วิธีที่กล่าวมาข้างต้นนี้ นักลงทุนก็ไม่จำเป็นต้องซื้อขายบ่อยเพราะได้ลงทุนเฉพาะในบริษัทที่มีลักษณะ Wide moat ซึ่งมีความได้เปรียบทางการแข่งขันในระยะยาว และสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ถือหุ้นไปเรื่อยๆ เนื่องจากมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หุ้นลักษณะนี้จึงเหมาะกับการลงทุนแบบซื้อแล้วถือไว้ (buy-and-hold) มากกว่า

ว่ากันตามจริงแล้ว ไม่ว่านักลงทุนจะเก่งแค่ไหนก็ไม่สามารถคาดการณ์มูลค่าที่แท้จริงของหุ้นได้อย่างถูกต้อง นักลงทุนทำได้แค่ประเมินมูลค่าของหุ้นภายใต้สภานการณ์การเติบโตของกำไรในอนาคต กล่าวง่ายๆคือ โอกาสที่นักลงทุนจะประเมินมูลค่าหุ้นให้ถูกต้องนั้นเป็นไปได้ยาก ดังนั้นการที่นักลงทุนจะขายหุ้นตัวหนึ่งเพื่อไปซื้ออีกตัวหนึ่งนั้นอาจจะไม่คุ้มค่าเลยเพราะนักลงทุนเองก็ไม่สามารถตอบได้ว่าตัวเองประเมินมูลค่าหุ้นตัวไหนได้ถูกต้องมากน้อยอย่างไร

ยิ่งพอรวมต้นทุนในการซื้อขายแต่ละครั้ง ซึ่งรวมถึง ภาษี  ส่วนต่างระหว่างราคาเสนอซื้อและเสนอขาย (bid–ask spreads) และค่านายหน้าเข้าไป โอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นจากการซื้อขายบ่อยๆ ก็ยิ่งน้อยกว่าการซื้อหุ้นในบริษัทที่มีลักษณะ Wide moat แล้วก็ถือหุ้นแบบนี้ในระยะยาวเสียอีก

ที่มา: Morningstar Thailand Analysts

ลงทุนก่อนเถอะ แล้วค่อยใช้เงินทีหลัง

ผมได้อ่านหนังสือเรื่อง “พ่อรวยและพ่อจนสอนลูก” ผมชอบอยู่บทเรียนหนึ่งที่กล่าวว่า “คนส่วนใหญ่ตั้งใจทำงานหาเงินเพื่อตอบสนองความต้องการส่วนตัว แต่มีคนส่วนน้อยที่ตั้งใจที่จะเก็บเงินเพื่อให้เงินทำงานแทนเรา” ผมยอมรับว่าการตัดกิเลส ความอยากได้ไม่สิ้นสุด เป็นเรื่องยาก อาจต้องศึกษาทฤษฎีเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง หรืออาจถึงกับต้องศึกษาพุทธศาสานา ในเรื่องการเดินสายกลาง เพื่อที่จะตัดกิเลสความอยากได้ให้ได้ เพราะเมื่อใดก็ตามที่เราใช้เงิน ไปตอบสนองความต้องการส่วนตัว ในเรื่องที่ไม่จำเป็น เราจะสูญเงินที่สามารถทำงานแทนเราได้ตลอดชีวิต เสียดายแทนครับ

ทำไมต้องให้เงินทำงานแทนเรา คำตอบชัดเจนในตัวเอง คือเราต้องการอิสรภาพทางการเงิน และเมื่อใดก็ตามที่เราให้เงินทำงานหาเงิน จนพอค่าใช้จ่ายของเรา เราจะไม่ต้องกังวลเรื่องการหาเงินด้วยตนเองอีกต่อไป ถึงเวลานั้นลาออกจากงานประจำ เลิกทำธุรกิจส่วนต้ว แล้วมาหาความสุขกับชีวิตดีกันดีกว่า

วิธีที่จะให้เงินทำงาน (หาเงิน) แทนเราก็คือการนำเงินที่หามาได้ไปลงทุนซื้อทรัพย์สินเพื่อให้ทรัพย์สินนั้นสร้างผลตอบแทนให้เรา

คนส่วนใหญ่นำเงินไปตอบสนองความต้องการตัวเองก่อน ด้วยการซื้อสิ่งของที่อาจไม่จำเป็นในชีวิต ซึ่งบางครั้งเป็นการสร้างภาระ เช่นนำไปซื้อรถแพงๆ เปลี่ยนมือถือเป็นว่าเล่น หรือตามเทคโนโลยีจนเหนื่อย ลองคิดดูว่าที่ผ่านมา เราสูญเงินไปกับเรื่องไม่จำเป็นมากน้อยแค่ไหน และหากเปลี่ยนสิ่งของเหล่านั้นมาเป็นเงิน เราจะได้เท่าไร ไม่ต้องนึกถึงว่าเงินเหล่านั้น จะมาสร้างผลตอบแทนได้เท่าไรในอนาคต เราจะเปลี่ยนแนวทางการใช้เงินวันนี้ หรือจะรอจนเราต้องถูกบังคับให้เปลี่ยน และมันมักจะสายเกินไป

แล้วจะลงทุนอะไรละ หลายคนอาจเข้าใจผิดว่าการนำเงินไปฝากธนาคารและได้ดอกเบี้ย 2% - 3% เป็นการลงทุน ซึ่งไม่ใช่ นั้นเรียกว่าการออม การลงทุนคือการนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น และได้

ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น เช่นการซื้อตราสารหนี้ หรือซื้อหุ้น อย่างไรก็ตามท่านอาจเป็นคนหนึ่งที่บอกว่า ฉันพอใจกับผลตอบแทน 2% - 3% ไม่อยากจะเสี่ยงอะไร แต่อย่าลืมนะครับว่าเราจะต้องเสียภาษีดอกเบี้ย 15% ซึ่งนั้นหมายถึงเราจะได้ผลตอบแทนสุทธิเพียง 1.7% - 2.55% เท่านั้น แต่พิจาณาเงินเฟ้อในประเทศระยะยาวที่ประมาณ 3% การฝากเงินไว้กับธนาคารจะทำให้เราขาดทุนตลอดเวลา เนื่องจากผลตอบแทนไม่คุ้มค่าเงินเฟ้อ แล้วหากยังคงเป็นเช่นนี้ จะเกิดอะไรขึ้น เราก็จะต้องทำงานหาเงินมาเพิ่มตลอดเวลา เกษียณเมื่อไรก็ไม่รู้ ดังนั้นสิ่งที่ท่านต้องให้ความใส่ใจคือการลงทุนในสินทรัพย์เพื่อให้เงินทำงานแทนเราบ้าง และให้ทำงานตลอด 24 ชั่วโมงไม่มีวันหยุด ใช้เงินเยี่ยงทาสก็ว่าได้ครับ รับรองเงินไม่บ่นให้คุณได้ยินสักคำ

หุ้นเป็นทางเลือกหนึ่งที่ดีที่สุดในการให้เงินทำงาน หลายคนบอกว่ามีความเสี่ยง แต่หากเราลงทุนระยะยาวและต่อเนื่อง ความเสี่ยงดังกล่าวจะลดลงอย่างมหาศาล นอกจากนั้นความเสี่ยงยังอยู่ที่เราไม่มีความรู้เรื่องหุ้นด้วย และหากเรามีความรู้มากขึ้น ความเสี่ยงจะลดลงได้เช่นกัน ลองย้อนกลับไป 30 ปีที่แล้ว (ผ่านทั้งวิกฤติต้มยำกุ้ง วิกฤติ subprime ในสหรัฐฯ) ไม่ว่าคุณจะลงทุนอะไรก็ตาม หุ้นเป็นทรัพย์สินที่ให้ผลตอบแทนมากที่สุดเฉลี่ยปีละ 14% (รวมเงินปันผล) ขณะที่ลงทุนในตราสารหนี้เอกชนได้ 8% ต่อปี และฝากเงินในธนาคารได้ 5% ต่อปี คิดต่อไปหากย้อนเวลากลับไปได้ 30 ปี คุณกับเพื่อนคุณตอนนั้นมีอายุ 30 ปี มีเงินเดือน 1 หมื่นบาทเท่ากัน ให้เงินเดือนเพิ่มขึ้นปีละ 5% แต่คุณแบ่งเงิน 20% ของเงินเดือนมาลงทุนหุ้น แต่เพื่อนคุณแบ่งเงิน 20% มาออมเงินโดยฝากธนาคาร คุณทราบไหมครับว่าจะเกิดอะไรขึ้น คุณจะมีเงินทั้งสิ้น 14.18 ล้านบาทตอนคุณอายุ 60 ปี แต่เพื่อนคุณจะมีเงินแค่ 3.12 ล้านบาท (ไม่รวมภาษีดอกเบี้ยที่เพื่อนคุณต้องเสียอีก) เห็นความแตกต่างไหมครับ แล้วคุณจะไม่เริ่มศึกษาการลงทุนในหุ้นเชียวหรือครับ รับรองการลงทุนหุ้น มีทั้งวิธีแบบง่ายที่สุด แบบที่เรายอมรับว่าเราไม่มีความรู้ จนถึงแบบยากที่สุด ที่ทำให้นักลงทุนหุ้นหลายคน กลายเป็นคนที่รวยอันดับต้นๆ ของโลกหรือของประเทศเลยทีเดียว

ที่มา: คุณกวี ชุกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บมจ หลักทรัพย์ กสิกรไทย

Thursday, September 12, 2013

Parent's Opinions : ชีวิต “โสด” ดีจริงหรือ?

ไม่รู้ว่าเป็นข้ออ้างสำหรับคนไร้คู่หรือไม่ กับประโยคที่ว่า “อยู่เป็นโสด สนุก และมีความสุขกว่าตั้งเยอะ” เห็นได้จากเพื่อนของทีมงานบางคนที่ตั้งใจจะใช้ชีวิตโสด เพราะไม่อยากถูกมัด และมีบ่วงคอยรัดตัว ถึงแม้จะต้องทนกับคำว่าขึ้นคานก็ตาม แต่ถ้าให้เลือกระหว่าง “อิสระ” กับ “ภาระ” เปอร์เซ็นต์ของการครองชีวิตโสดนับวันยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ

ไม่ต่างกับคนรู้จักของทีมงานจำนวนหนึ่งที่แต่งงานมีลูกกันแล้ว แต่ถวิลหาอยากกลับไปใช้ชีวิตโสดอีกครั้ง เพราะได้ใช้ชีวิตส่วนตัวอย่างเต็มที่ และไม่ต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้ง ทั้งเรื่องการศึกษาของลูก ค่าใช้จ่ายภายในบ้าน และอื่นๆ อีกมากมาย

ในขณะที่คนอีกกลุ่มหนึ่ง กลับมองว่า อยู่เป็นโสดทั้งเหงา และโดดเดี่ยว มิหนำซ้ำยังไม่มีคนดูแลในยามแก่เฒ่า หรือไม่มีใครที่สามารถฝากผีฝากไข้ได้เลย
    
และนี่จึงเป็นที่มาของหัวข้อคำถามใน Parent's Opinions สัปดาห์นี้ที่เราขอเปิดพื้นที่ให้ท่านผู้อ่านได้เข้ามาวิเคราะห์กันอย่างตรงไปตรงมาว่า ระหว่างชีวิตโสด VS ชีวิตคู่ แบบไหนที่คุณคิดว่าดีกว่ากัน เข้ามาบอกเล่า และแลกเปลี่ยนกันได้ทางกล่องแสดงความคิดเห็นด้านล่างนี้ หรือถ้าใครพอจะมีแง่มุม หรือประสบการณ์ดีๆ ที่เห็นสมควรแก่การแบ่งปัน ทีมงานยินดีน้อมรับด้วยความขอบคุณครับ
    
ทีมงาน Life & Family
*****************
ความคิดเห็นที่ 17
  
ผมมีความเห็นว่า ท่านที่บอกว่าได้อย่างเสียอย่าง เป็นความคิดเห็นที่เป็นกำปั้นทุบดินเกินไปครับ และประเด็นของเรื่องนี้ผู้เขียนก็ตั้งโจทย์ไว้แล้วว่าอยากได้ความคิดเห็นว่า การมีคู่ครองหรือเป็นโสดอะไรดีกว่ากัน เพราะฉะนั้นการแสดงความคิดเห็นควรเน้นด้านใดด้านหนึ่งและบอกเหตุผลของตนเองออกมาให้ชัด มันจะได้เป็นข้อมูลสำหรับคนอื่น ๆ จะได้นำไปคิดพิจารณาต่อไป และเป็นข้อมูลที่จะนำมาใช้ได้ในอนาคตด้วย

ตัวผมเองผ่านการมีครอบครัวและเลิกลากันไปเรียบร้อยแล้วโดยไม่มีบุตรมาเป็นปัญหาในการตัดสินใจ ส่วนสาเหตุก็เป็นเรื่องแนวคิดของแต่ละฝ่ายโดยไม่มีปัญหาด้านชู้สาวมือที่สามใด ๆ ทั้งสิ้น

จากประสบการณ์ของผมเองเมื่อเวลาผ่านไปก็ได้ข้อสรุปของตนเองว่า การมีชีวิตคู่นั้นสิ่งสำคัญคือทั้งสองคนหวังจะมีบุตรเพื่อสืบทอดวงศ์ตระกูลต่อไปหรือไม่ หากต้องการมีบุตรการมีชีวิตคู่จึงจะมีได้และเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขที่แท้จริง ในกรณีที่ไม่ได้คิดหวังจะมีบุตรไว้สืบทอดวงศ์ตระกูลการมีชีวิตคู่แค่มีเพื่อนใกล้ชิดที่รู้ใจ และเป็นคู่ครองกันไปตลอดชีวิตนั้นจะมีได้ก็เมื่อคนทั้งสองเข้าใจแต่ละฝ่ายอย่างดีและยอมรับกันได้ดีด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมากในความรู้สึกของผม เพราะคนเรานั้นอาจมีช่วงชีวิตที่เปลี่ยนแปลงกันได้และแนวคิดก็อาจเปลี่ยนไปได้เช่นกัน นอกจากนั้นรสนิยมส่วนตัวก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญเช่นกัน หากไม่สอดคล้องกันจริง ๆ แล้วปัญหาจะเกิดได้ทันที

การใช้ชีวิตอยู่กินร่วมกันก่อนการสมรสนั้น ก็เป็นอีกแนวความคิดหนึ่งที่เคยมีการนำเสนอต่อสังคม เรื่องนี้ในต่างประเทศเขานิยมทำกันเพราะเขาไม่ได้คิดในด้านเพศสัมพันธ์ว่าสำคัญ เพราะเขาถือว่าเป็นประสบการณ์เท่านั้น แต่การจะถือแบบนี้ได้ เราต้องยอมรับกันอย่างแท้จริงว่า ผู้ที่เราเลือกมาเป็นคู่ครองอาจผ่านการมีเพศสัมพันธ์มามากมายแล้วก็ได้โดยไม่คิดมาก (อย่างแท้จริง) ปัญหาการเป็นคนโสดหรือมีคู่ครองจึงไม่ใช่สาระสำคัญเท่าใดนักหากคิดแบบนี้

คนไทยเรายังไม่ค่อยยอมรับเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ของฝ่ายหญิงก่อนการสมรส ทั้ง ๆ ที่ฝ่ายชายเองผ่านการมีเพศสัมพันธ์มากมายแล้วก็ได้ เพราะสภาพสังคมเอื้อให้เป็นเช่นนั้น แต่สังคมทุกวันนี้สิ่งเหล่านี้กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จึงเป็นประอีกประเด็นหนึ่งที่เราต้องพิจารณาว่าเราจะยอมรับได้ในระดับไหน ถูกผิดเป็นเรื่องที่สรุปได้ยาก มันอยู่ที่ใจเราเองเท่านั้น

การมีคู่ครองนั้นฐานะไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะเราจะเห็นได้ว่ามีคู่ครองมากมายที่ฐานะยากจนและมีความสุขอยู่ร่วมกันได้ ช่วยกันทำมาหากินและบุตรสืบทอดได้อย่างอดทนและไม่มีปัญหา ทั้งนี้ทั้งนั้นคู่ครองคู่นั้นต้องมีทัศนคติที่ดีและรู้จักการเลี้ยงดูบุตรเป็น นั่นหมายถึงว่าทั้งคู่มีพื้่นฐานด้านความรู้พอสมควรที่จะมีครอบครัวได้

การอยู่เป็นโสดตัวคนเดียวที่หลายท่านกล่าวว่าเป็นชีวิตที่เงียบเหงา มันอาจจริงแต่จะเป็นแค่ช่วงเวลาระยะสั้น ๆ เท่านั้นเอง และหากคุณหาข้อสรุปในการใช้ชีวิตส่วนตัวได้แล้วผมว่าปัญหานี้ไม่มีแน่นอน เพราะเรามีเพื่อนได้ การมีเพื่อนที่ดีและสนิทเราหาได้หลายคน แต่การมีคู่ครองที่ดีนั้นเราหาได้คนเดียว ทั้งนี้ทั้งนั้นพื้นฐานอยู่ที่ตัวเราเองเป็นหลัก ถ้าเราทำตัวไม่ดีชีวิตก็ไม่ดี หากเราทำตัวได้ดีชีวิตจะได้ดีเช่นกันและไม่เงียบเหงาเลย แต่สิ่งสำคัญสำหรับคนโสดอีกเรื่องหนึ่งก็คือ เราต้องสร้างฐานะเราให้มั่นคงและคิดให้รอบคอบในการใช้สอยต่าง ๆ โปรดอย่าลืมว่าชีวิตคนโสดค่าใช้จ่ายจะสูงกว่าคนมีครอบครัว (หมายถึงค่าเฉลี่ยต่อหัวนะครับ) ดังนั้นการใช้ชีวิตโสดนั้นต้องวางแผนการเงินของตัวเองให้รอบคอบด้วย เพราะในอนาคตเมื่ออายุมากแล้วเราต้องใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ส่วนตัว เพราะไม่มีครอบครัวช่วยดูแล ซึ่งต้องใช้เงินทั้งสิ้น

ครับผมก็บอกเล่าประสบการณ์จริงของตัวเองให้ท่านทั้งหลายได้พิจารณากัน รักชอบวิธีใดก็เลือกใช้กันด้วยสติปัญญาและสภาพแวดล้อมของท่านก็แล้วกัน

ที่มา: หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ

วิธีหาความสุขให้ตัวเองชีวิตไม่เหงา

ชีวิตไม่เหงา วิธีหาความสุขให้ตัวเอง "โสด" แต่มีความสุข ฉบับคริมานั้น เธอแนะไว้ว่า

1.อย่าตอกย้ำตัวเองว่าเหงา เพราะยิ่งคิดจะยิ่งเหงา
2.เวลาเหงาอย่าคิดขวนขวายมีคู่ ถ้าไม่เจอจะเจ็บเอง
3.อย่าอิจฉาคนมีคู่ ให้คิดว่าเราก็มีคู่ คู่พ่อแม่ คู่เพื่อน คู่พี่น้อง
4.เห็นคนอื่นจูงมือกัน ต่อมอิจฉากำเริบ สลัดความคิด แล้วไปจูงมือเพื่อน พี่น้อง พ่อแม่ ช็อปปิ้ง เดินดูของให้หนำใจแทน
5.ที่สำคัญทำชีวิตให้สดใส ดูแลตัวเอง แม้หน้าตาเป็นด่านแรก แต่สุดท้าย คือ นิสัยใจคอ ขอให้คิดบวก
6.หากฟุ้งซ่าน ลองหันหน้าเข้าธรรมะ จิตใจจะได้สงบขึ้น

ถึง "โสด" แต่ก็มีความสุขอย่างสาวเหมียงนั้น เธอบอกว่า
1.อันดับแรก อย่าคิดขวนขวายมีความรัก ขอให้เชื่อในความมั่นใจของตัวเองว่าเรามีงานทำ มีการศึกษา มีเพื่อน มีครอบครัวที่รัก
2.เหงานักไปกินข้าวกับเพื่อน ไปเสริมสวย ไปช็อปปิ้ง ซื้อของให้ตัวเอง เป็นรางวัลชีวิต
3.อย่าเครียด อย่ากังวล เพราะมีผลต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต ยิ่งทำให้แย่มากกว่าเดิม
4.เริ่มต้นใช้ชีวิตแบบใหม่ เปลี่ยนเสื้อผ้า จัดโต๊ะทำงานใหม่ หาความสุขให้ตัวเอง
5.ให้คิดว่าเรามีคนรักอยู่รอบตัว จากเพื่อน ครอบครัว คนใกล้ชิด ซื้อของให้เพื่อน ครอบครัวแทน

สุดท้าย ทำตัวเองให้มีความสุขทุกวัน ยิ้มรับกับวันใหม่ๆ สลัดเรื่องเก่าๆ ทิ้งให้หมด และทำตัวให้สดใสมากกว่าเดิม คิดบวกเข้าไว้

ข้อดีของชีวิตโสด

วันนี้ เรากำลังจะบอกคุณ ๆ ทั้งหลายที่ โสดว่า จงภูมิใจไว้เถิด ความโสดของคุณน่ะ ช่างมีคุณค่าและน่าหวงแหนจะตายไป ใคร ๆ ก็พากันอิจฉา ไม่ได้โสดแล้วมีความสุขกันง่าย ๆ อย่างที่เห็นหรอกจะบอกให้ แต่ก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิด เชื่อเถอะว่า ถ้าคุณโสดแล้วสุขได้น่ะนะคุณเอ๊ย มันจะเป็นความสุขที่คุณสร้างขึ้นได้ด้วยสมอง สองมือบวกด้วยหัวใจของตัวคุณเอง และคุณจะรู้สึกว่าคุ้มค่าเหลือเกินที่ได้เกิดมาบนโลกใบนี้

ก็เพราะว่า...

ข้อดีของชีวิตโสดมีมากมาย
- คุณลองตรองดูดี ๆ ชีวิตนี้ใครจะสุขีได้เท่าเรา ทำงานคนเดียวใช้เงินคนเดียว เที่ยวก็  สบายใจ
- ไม่ต้องคอยโทรฯหาใคร ประหยัดค่าโทรศัพท์ไปได้โข
- ชีวิตนี้มีแต่คำว่าอิสระเสรี ในขณะที่ใครหลาย ๆ คน สะกดคำนี้ยังไม่เป็น
- คุณจะเป็นอินดี้ตัวจริงของแท้ ก็ Independent แปลว่า “อิสรภาพ”
- คุณจะเป็นตัวของตัวเองได้เต็มที่สุดกำลัง จะบ้าแหวกแนว หรือ’ติ๊สท์รับประทานเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่ต้องแคร์ใคร
- คุณไม่ต้องเก๊กฟอร์มให้ตัวเองดูดีอยู่ได้ทุกนาที เพราะกลัวคนรักจะรับในความอุบาทว์ของตัวเราไม่ได้
- ชีวิตนี้คุณเคยมีความฝันเป็นของตัวเองบ้างไหม  ถ้ามีคุณสามารถลงมือทำได้ทุกเมื่อ  บางทีการมีแฟนก็หมายถึงการที่เราต้องไปแชร์ความฝันร่วมกันกับเขาหรือเธอคน นั้น โดยที่ต้องได้รับความยินยอมจากอีกฝ่าย
- หมดเรื่องที่จะบั่นทอนกำลังใจในชีวิตไปได้อีกหนึ่งเรื่อง
- ไม่ต้องมีพันธะกับใครทั้งทางใจและกาย
- มีเวลาให้ตัวเองเต็มที่ได้ดูแลตัวเอง หาความสุขให้ตัวเอง ส่วนจะเป็นวิธีไหนนั้น พบคำตอบได้ในหัวข้อต่อไป
- ไม่ต้องเปลี่ยนตัวเองเพื่อใคร แต่ถ้าจะเปลี่ยน เงื่อนไขคือ เพื่อตัวเราเอง!
- คุณจะเป็นที่รักของใครหลายคนพี่น้อง เพื่อนฝูง เพราะเขาจะเห็นว่าคุณคือคนที่มีเวลาให้พวกเขาได้ทุกเวลา
- จำไว้ชีวิตของคนโสด มิตรภาพ ความฝัน และตัวของฉัน จะมีความสำคัญมาเป็นอันดับที่ 1
- คุณมีเปอร์เซ็นต์เรียนรู้โลกกว้างใบนี้ได้มากกว่าคนไม่โสดถึง 90%
- บทเพลงของความเหงาก็ซึ้งได้พอ ๆ กับบทเพลงของความรักหรือเรื่องราวอกหัก รักคุด ลองหาฟังดู

โสดไลฟ์สไตล์
....นี่คือหนทางแห่งการค้นหาความสุขให้ตัวเองด้วยตัวเองอย่างแท้จริง
- การไปดูหนังคนเดียวมันก็สนุกไปอีกแบบ หนำซ้ำคุณจะได้จดจ่ออยู่กับหนังจนเรียกได้ว่า นี่แหละคือการมาดูหนังอย่างแท้จริง
- โลกใบนี้กว้างใหญ่นัก เกิดมาแค่ชีวิตเดียว ก็ยังเที่ยวไม่หนำใจเลย  เพราะฉะนั้นออกเดินทางสู่โลกกว้างซะตั้งแต่วันที่คุณยังมีพลังดีกว่า เดี๋ยวจะไม่คุ้มค่าหากถึงเวลาที่คุณต้องจากโลกนี้ไป
- การไปไหนมาไหนคนเดียวสนุก ตื่นเต้น  และน่าผจญภัยเป็นที่สุด
- ออกเที่ยวกับเพื่อนฝูงได้เสมอ สิ่งที่คุณจะได้กลับมาก็คือ คุณจะตระหนักได้ถึงคำว่ามิตรภาพมากขึ้นด้วย
- ทุ่มเทให้กับการทำงานและความฝัน
- ชีวิตมีอะไรให้ทำตั้งเยอะแยะ และไม่มีอะไรมีความสุขไปกว่าการได้ทำตามใจตัวเอง
- ทำไมต้องทำอะไรตามใครจะมีแฟนก็ต่อเมื่อมีความรัก ถ้าความรักมันไม่เกิดก็ไม่ต้องไปมีมัน ดูเป็นคนมีอุดมการณ์ออกจะตาย ไม่จำเป็นและดูไร้สาระมาก หากต้องมีแฟนเพื่อไม่ให้ตกยุค
- อยากทำอะไรที่ชีวิตไม่เคยทำบ้าง ทำเป็นลิสต์ออกมา ตั้งใจทำทีละอย่างให้ลุล่วง เต็มที่ไปเลย
- คุณคิดจะรักใครชอบใครเมื่อไหร่ก็ได้ หากเป็นแค่ความชอบโดยไม่ต้องต่อยอดไปสู่ความรัก ความรู้สึกเวลาที่ไปแอบชอบใครสักคนเนี่ย  มันก็มีความสุขไปอีกแบบ หัวใจคุณจะตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ ทุกครั้งที่เขาหรือเธอเดินผ่านมา แม้แค่เพียงเสียงเดินคุณก็ยังจำได้ ถ้าไม่โสดความรู้สึกแบบนี้มันไม่สนุกหรอกนะจ๊ะ
- อุทิศเวลาให้สังคมบ้างก็จะเป็นโสดเพื่อการกุศล
เงื่อนไขที่คนโสดต้องรับได้และการเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส
- ไม่สนุกหรอกกับการที่จะต้องมานั่งกลุ้มใจเรื่องความรัก เอากำลังใจที่เหลือของชีวิตไปสร้างสรรค์ด้านดี ด้านอื่น ๆ ในชีวิตจะเกิดประโยชน์เสียมากกว่า
- ความโสดคนละเรื่องกับการขึ้นคาน คุณต้องแยกให้ออก
- นั่นหมายถึง คุณต้องรักและพึงพอใจในสถานะของตัวเองที่จะโสดอยู่อย่างนี้  และคุณพอใจที่จะไม่เลือกใครมาเป็นคู่ครอง
- คุณต้องรักชีวิตตัวเองเหนือสิ่งอื่นใด  จากนั้นความรักจึงถูกเจือจานสู่ผู้อื่น
- โสดก็คือโสด ไม่มีรูปแบบ ไม่ต้องมานั่งแยกประเภทของความโสดกันหรอก ไม่ว่าคุณจะตั้งใจโสดหรือไม่ก็ตาม
- อีกเรื่องที่ต้องแยกแยะคือ คุณไม่ได้ขี้เหนียวความรักหรือหัวใจ คนโสดไม่ได้หมายความว่าไม่มีหัวใจหรือความรัก แต่คุณไม่ต้องการมีพันธะต่างหากเล่า
- แม้จะเหงาบ้างและเหงาบ่อย แต่ความเหงาไม่ทำให้คนตายได้
- หากคุณเก็บเกี่ยวเอาความเหงามาพลิกด้านให้มันเป็นแรงบันดาลใจชั้นดี ทำให้คุณหาหนทางทำลายมันด้วยการหางานอดิเรกทำ ไม่แน่ว่าคุณอาจค้นพบวิถีชีวิตที่คุณรักก็ได้
- อย่าไปสนใจเสียงนกเสียงกาที่คอยถามไถ่แกมจิกถึงเรื่องแฟน อธิบายพวกเขากลับไปว่าคุณมีความสุขกับชีวิตโสดมากแค่ไหน เอาให้เขาอิจฉาคุณจนจ๋อยกลับไปเลย
- คุณแค่ไม่มีแฟนแต่คุณก็ยังมีความรักในหัวใจได้เสมอ ก็รักครอบครัว รักตัวเอง รักหมา   แมว รักดนตรี รักศิลปะ รักเพื่อนฝูง พี่น้องรอบข้างยังไงล่ะ
- อย่าไปเชื่อหากใครบอกว่า การมีใครสักคน สามารถเติมเต็มชีวิตของคุณได้ ความจริงข้อนี้ถูกแค่ 50 เปอร์เซ็นต์ การมีใครสักคนเข้ามาในชีวิตอาจดูดชีวิตของคุณให้หายไปทั้งชีวิตเลยก็ได้
จงมีความสุขกับความโสดในทุก ๆ วัน แล้วชีวิตโสดของคุณจะได้...ขำ ๆ ค่ะ ขำ ๆ !. 

เขียนโดย menmen 

เหตุใด ทำไมผู้ชายบางคนถึงไม่มีแฟน

สาวๆบางคนหรือหลายๆคนเคยสงสัยไหมว่า ทำไมผู้ชายบางคนถึงไม่มีแฟน มีบทความดีๆนำเสนอ
สาวๆหลายคนคงเคยเกิดคำถามกับชายหนุ่มบางคนที่ทั้งหล่อ นิสัยดี รูปร่างดีแต่ไม่มีแฟน ว่าทำไมเขาถึงไม่เห็นมีแฟนเป็นตัวเป็นตนสักที ทั้งที่ก็เพอร์เฟคขนาดนี้ เอ๊ะ! หรือเขาจะเป็นเกย์ รักชอบเพศเดียวกัน บางทีอาจจะเป็นอย่างที่สาวหลายคนสงสัยก็ได้ ถ้าหากเขาเป็นชายทั้งแท่ง ไม่ได้รักชอบหมายป่าเดียวกันมันก็ต้องมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้เขายังไม่ อยากมีแฟน

1. เขาอาจจะมีความสุขกับชีวิตที่เป็นอยู่ตอนนี้ บางคนเขาอาจจะรู้สึกว่าชีวิตที่เป็นอยู่ตอนนี้เพียงพอแล้ว มีพ่อแม่ มีเพื่อน มีงาน มีเงิน เขาคงมีความสุขกับสิ่งที่เป็นอยู่ ไม่จำเป็นต้องขวนขวายหาความรักเพิ่มเติม

2. งานยุ่งไม่มีเวลา บางคนเขายังไม่อยากมีแฟน เพราะงานเขาเยอะ ต้องทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับงาน จนไม่มีเวลาไปสนใจอย่างอื่น หากมีแฟนตอนนี้ก็อาจมีปัญหาตามมาได้ เพราะตนเองก็ยังไม่พร้อมและคงไม่มีเวลาให้ด้วย

3. มีประสบการณ์ความรักที่แสนเศร้า บางคนอาจจะเคยมีความรักมาแล้ว แต่เป็นความรักที่ไม่สมหวัง จบไม่สวย ทำให้ปิดกั้นตัวเอง ไม่กล้าเปิดรับใครเข้ามาอีก เพราะกลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเดิม

4. ไม่มีแฟนตามเพื่อนในกลุ่ม เป็นที่รู้กันอยู่ว่าผู้ชายมักจะติดเพื่อนมากกว่าผู้หญิงดังนั้นหากเพื่อน ไม่มีแฟน เราก็ไม่ควรมีตามไปด้วย

5. กลัวมีเวลาให้เพื่อนน้อยลง คนประเภทนี้อาจจะเคยเห็นจากสื่อต่างๆ เช่นหนัง ละคร โฆษณา ที่ว่าพออยู่กับแฟนแล้วเพื่อนโทรมาชวนออกไปข้างนอก แฟนก็ไม่ยอมให้ไปแล้วโวยวาย หรือพออยู่กับเพื่อนแล้วแฟนโทรมาเพื่อนก็จะตัดพ้อต่อว่า เพราะเอาเวลาไปทุ่มให้แฟนจนหมด คนประเภทนี้เลยไม่กล้ามีแฟน

6. กลัวความรักทำให้การเรียนตก เป็นเหตุผลของเด็กเรียน ประเภทมีความสุขกับการมีเกรด 4 ประดับอยู่ในสมุดพกหรือไม่ก็ถูกครอบครัวปลูกฝังให้ตั้งใจเรียนให้จบก่อนค่อย มีแฟน ทำให้หนุ่มคนนั้นไม่กล้าเปิดใจรับใคร

7. กลัวเปลืองเงิน คนประเภทนี้เป็นพวกประเภทขี้งกขี้เหนียว มีความเชื่อที่ผิดๆ ประมาณว่ามีแฟนแล้วเดี๋ยวก็ต้องออกนู้นออกนี้ให้ เงินก็ยังหาเองไม่ได้ งั้นก็อย่ามีให้เป็นภาระเสียเลยจะดีกว่า

เรียบเรียงข้อมูลโดย menmen

มารยาทที่สำคัญทางทหาร - มารยาทในการปฏิบัติงาน / มารยาทในที่ทำงานของทหาร

มารยาทในการปฏิบัติงาน / มารยาทในที่ทำงานของทหาร
1. ควรเรียกกันตามชั้นยศเสมอเพื่อป้องกันไม่มีมารยาทอันดีกับผู้ที่มีอายุมากกว่า
2. การ ขอเข้ามาติดต่อราชการจากบุคคลภายนอก การปฏิบัติควรมีความละเอียดอ่อน มีขั้นตอนเพื่อป้องกันเหตุร้าย การปฏิบัติที่จะทำให้เสื่อมเกียรติ หรือทำให้ผู้ที่ต้องการเข้าพบมีเวลาเตรียมตัวก่อนโดยควรปฏิบัติดังนี้
3. กรณี ขอเข้าหารือข้อราชการ / ขอเข้าพบกับผู้บังคับหน่วยให้สอบถามความประสงค์ในชั้นต้น (ให้ได้ความว่าเป็นใคร มาจากไหนและวัตถุประสงค์ที่ต้องการ) หลังจากทราบข้อมูลในชั้นต้นแล้วแจ้งให้กรุณารออยู่สักครู่ ลำดับต่อไปให้ไปแจ้ง ฝสธ. เพื่อรับทราบเพื่อพิจารณาและตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมก่อนเรียนให้ ผบ.หน่วยตกลงใจการปฏิบัติต่อไป และท้ายสุดเมื่อได้รับการปฏิบัติที่แน่นอนแล้ว จึงมาแจ้งให้กับผู้ที่ขอเข้าพบรับทราบ และนำเข้ารอที่ห้องรับรองเพื่อให้ ฝสธ. หรือนายทหารคนสนิทนำเข้าพบต่อไป
4. กรณีขอประสานข้อราชการ กับข้าราชการภายในหน่วย ให้สอบถามความประสงค์ในชั้นต้น โทรแจ้งผู้ที่ถูกเข้าพบทราบ  เมื่อได้รับการปฏิบัติที่แน่นอน จากนั้นจึงแจ้งให้กับผู้ที่ขอเข้าพบทราบข้อมูล และให้เสมียนเวรนำไปพบต่อไป (หากมีห้องรับรองเป็นการเฉพาะให้เสมียนเวรนำไปพักคอย รอจนกว่าผู้ที่ต้องการเข้าพบมาพบ) จึงเสร็จหน้าที่ และไม่สมควรถือวิสาสะนำเข้าพบโดยตรงแต่ควรแจ้งให้กับนายทหารธุรการ หรือ ผช. ของแต่ละกอง หรือ รอง ผอ.กอง ให้รับทราบในชั้นต้นก่อนนำเข้าพบด้วย
5. กรณี ติดต่อธุระส่วนตัวกับข้าราชการภายในหน่วยงาน การปฏิบัติเช่นเดียวกับกรณีขอประสานข้อราชการกับข้าราชการภายในหน่วย แต่ต้องได้รับอนุญาตอย่างชัดเจนจากผู้ที่ถูกเข้าพบก่อน
6. ควรเรียกกันตามชั้นยศเสมอ (ป้องกันอาวุโสทางอายุ และการที่จะมียศสูงกว่าในอนาคต เพื่อการบริหารงานตามสายการบังคับบัญชาในโอกาสหน้า)
7. การใส่เสื้อคลุมไม่ได้แสดงว่าท่านไม่มียศ หรือยกเว้นการแสดงความเคารพ
8. ไม่ควรแสดงความเคารพไปพร้อมกับการพูดคุยโทรศัพท์ทุกประเภทไปด้วย
9. ไม่ควรพูดข้ามศีรษะผู้ที่มียศสูงกว่าถือว่าไม่สุภาพ
10. ช่องทางเดิน / ในลิฟต์ควรหยุดพูดชั่วขณะในขณะที่มีผู้ที่มียศสูงกว่าเดินผ่านหรืออยู่ในลิฟต์ด้วย
11. ควรแต่งกายให้ถูกต้องตามระเบียบที่ทางราชการกำหนด เช่น ชุดกีฬาต้องสวมรองเท้าผ้าใบ และต้องสวมถุงเท้าเสมอ
12. ไม่ควรปล่อยทรงผมในกรม(เว้นขณะเล่นกีฬา)
13. แสดงการเคารพทุกครั้งเมื่อมีโอกาสโดยไม่แบ่งชาย-หญิง หรือบุคคลภายนอกหน่วย
14. ไม่ควรใส่ชุดอื่นใดนอกเหนือจากที่ทางราชการกำหนดในขณะปฏิบัติงาน เช่น ชุดครึ่งท่อน หรือชุดวอร์มหลากสี
15. ไม่ควรพูดคุยเสียงดังในขณะเวลาปฏิบัติงาน ควรเกรงใจบุคคลใกล้เคียง
16. ผู้น้อย ต้องแสดงความเคารพผู้ใหญ่ด้วยทุกครั้ง (ต่างกองที่มียศ หรืออาวุโสสูงกว่า) หากในช่วงเช้าไม่พบเจอ ในช่วงบ่ายหรือพบกันครั้งแรกก็ต้องแสดงความเคารพด้วย มิใช่สาย หรือบ่ายแล้วไม่ต้องแสดงความเคารพกันอีก
17. ต้องติดบัตรแสดงตนตลอดเวลา และทุกชุดในเวลาปฏิบัติงาน
18. กิริยาดื้อดัน ไม่ฟังคำสั่ง แสดงการเถียงต่าง ๆ ทหารไม่ควรประพฤติเลยเพราะจะทำให้เสียแก่วินัย
19. ต้อง ระวังความสะอาดเรียบร้อยในที่อยู่ และที่ทำงานของตนให้มาก ๆ เพราะที่อยู่ของตนนั่นหรือที่ทำงาน จะเป็นเครื่องแสดงให้ผู้อื่นเห็นว่าตนมีนิสัยอย่างไร ทั้งถ้าที่อยู่โสโครกแล้วก็อาจบังเกิดโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ อย่างร้ายแรงได้
20. คน ไทยย่อมถือกันว่าศีรษะเป็นของสูงเสมอ ฉะนั้นต้องระวังอย่าใช้กิริยาข้ามกราย และเวลาพูดอย่าใช้มือชี้ข้ามหน้าตา และศีรษะของผู้อื่น ถ้าจะหยิบของซึ่งอยู่ในที่สูง หรือเดินเฉียดใกล้บุคคลต้องออกวาจา และแสดงกิริยาเอางามเป็นการขอโทษ
21. ทหารทุกระดับและชั้นยศ ควรต้องมีความเอื้อเฟื้อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
22. เมื่อทหารเห็นทหารผู้ใดทำราชการอย่างใดอยู่ และเหลือกำลังของผู้นั้นจักทำให้สำเร็จโดยเร็วได้  และการที่ทำอยู่นั้นเมื่อตนเข้าช่วยด้วยก็จะเป็นประโยชน์ และรวดเร็วขึ้น ก็ให้เข้าช่วยที่ทำการนั้น ๆ โดยเร็วที่สุดเสมอ เพื่อประโยชน์ในทางราชการ และบำรุงความสามัคคีซึ่งกันและกันอีกด้วย
23. ทหารไปในที่ใด ๆ ก็ดี ต้องระวังในเรื่องแสดงความเคารพอยู่เสมอ และต้องแสดงความเคารพโดยใช้กิริยานอบน้อม  (ตามแบบทหาร) ไม่ใช่ทำโดยเสียไม่ได้ หรือต้องบังคับให้ทำ และจะเหม่อเสียโดยมิได้เป็นอันขาด เพราะทหารได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีหูไวตาไว ในทุกรณีเสมอ
24. การมาทันเวลาราชการ หรือมาปฏิบัติงานสายนั้น นับว่าเป็นข้อสำคัญสำหรับราชการทหารมาก โดยที่ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา หรือผู้น้อยต้องมาก่อนผู้บังคับบัญชา หรือผู้ใหญ่เสมอ หรือผู้บังคับบัญชาก็ไม่ควรให้ผู้น้อยหรือผู้ใต้ บังคับบัญชามาคอยตนอยู่นาน ต้องระวังและทำเป็นตัวอย่างอันดีอยู่เสมอ ซึ่งถ้าตนมาช้าสัก ๒-๓ ครั้ง ต่อไปผู้อื่นก็จะมาช้าอย่างที่ตนทำแบบนั้นทีเดียวก็จะว่ากล่าวตักเตือนกัน ไม่ได้ ต้องหันมาพิจารณาดูด้วยว่า ทำไมผู้ใต้บังคับบัญชาที่มียศน้อยกว่า เงินเดือนน้อยกว่ามีภาระส่วนตนมากกว่า ถึงสามารถมาปฏิบัติงานก่อนตนได้ ก็จะเป็นแนวทางให้ท่านต้องปฏิบัติแต่สิ่งที่เป็นตัวอย่างได้ดียิ่งขึ้น
25. ต้องระวังแยกเวลาในราชการ และนอกเวลาราชการให้ถูกต้อง ไม่ควรเบียดบังเวลาราชการทำธุระส่วนตัวบ่อยนัก  จะเป็นการเอาเปรียบผู้ร่วมงาน และราชการ
26. เวลาเป็นสิ่งมีค่า อย่านำเวลาไปใช้สำหรับสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์กับหน่วยงาน และชาติบ้านเมือง หรืออย่าปล่อยให้เวลาว่างที่เหลืออยู่หมดไปเสียเปล่า ๆ กับการพุดคุยจับกลุ่มนินทา รับประทานทานของคบเคี้ยว หรือโทรศัพท์นาน แต่ควรอ่านหนังสือที่เป็นประโยชน์เสมอ
27. อย่าทำการงานให้ช้าจนเกินเวลาที่ควรเป็นอันขาด จะทำให้งานของราชการเสียหาย
28. ของที่ยืมมาจากผู้อื่นเมื่อได้ใช้แล้วต้องส่งคืนเจ้าของ หรือหน่วยงานโดยเร็ว
29. การหมุนโทรศัพท์ไปถึงผู้อื่นควรบอก ยศ, ชื่อ และสถานที่ทำงานก่อน แล้วจึงพูดในเรื่องที่ต้องการ
30. การรับสายโทรศัพท์ควรบอกสถานที่ทำงาน, ยศ และชื่อ ของผู้รับสายก่อน
31. หากผู้ที่ต้องการพูดไม่อยู่ในขณะนั้น ผู้รับสายควรจด ยศ, ชื่อ, ที่ทำงาน และหมายเลขโทรศัพท์เพื่อมอบให้ผู้มีธุระ
32. ผู้ที่ต้องการพูดด้วยไม่อยู่ ก็ควรขอให้ผู้ที่รับสายจด ยศ, ชื่อ, ที่ทำงาน และหมายเลขที่โทรกลับ
33. ควรช่วยเหลือผู้ที่ติดต่อมาผิดหมายเลข ให้ค้นหาหมายเลขที่ถูกต้อง และไม่ควรปล่อยให้ผู้โทรมาคอยนาน  พร้อมกับพูดด้วยเสียงที่นุ่มนวลสุภาพ ชัดเจน เช่น “สวัสดีครับ ที่นี่ กอง.....วท.กห. ผม ยศ ชื่อ รับสาย จะเรียนสายกับใครครับ กรุณาถือสายรอสักครู่ครับ มีข้อความจะฝากไว้ หรือไม่ครับ สวัสดีครับ(ไม่ควรใช่คำว่า "สักครู่" ห้วน ๆ โดยไม่มีหางเสียง)
34. การนำชิ้นส่วนของเครื่องแบบไปประกอบการแต่งกายพลเรือน ให้ห้ามโดยเด็ดขาด  เพราะมิฉะนั้นผู้ที่มิได้เป็นทหารอาจนำไปทำเรื่องไม่ดีแก่ทหาร
35. ไม่ควรถามผู้บังคับบัญชาอย่างไม่เหมาะสมก่อนในขณะที่ถูกซักถาม ควรให้ผู้บังคับบัญชาพูด ความประสงค์ให้จบก่อน เช่นใช้คำพูด “ว่า” หรือใช้คำสมัยใหม่ตามสมัยนิยมสวนกลับก่อนคำถามจะจบ
36. หากสวมใส่ชุดกีฬาก็สามารถแสดงความเคารพได้ และสมควรนำชายเสื้อสวมใส่ในกางเกงเล่นกีฬาให้เรียบร้อย
37. การรายงานหรือแจ้งเหตุใด ๆ ให้เป็นไปตามสายการบังคับบัญชาไม่ควรข้ามขั้นตอน ไม่เช่นนั้นจะถือได้ว่ามิได้ให้เกียรติกัน
38. ไม่ควรพักผ่อนในบริเวณกรมที่สามารถมองเห็นได้ง่าย เพราะบุคคลภายนอก หรือผู้ใต้บังคับบัญชาเห็นเข้าจะไม่น่านิยม หรือยกย่อง
39. ห้าม ใส่รองเท้าแตะขณะปฏิบัติหน้าที่ราชการแต่อนุโลมให้ใส่ได้เฉพาะที่โต๊ะของ ตนเองเท่านั้นห้ามใส่ออกมานอกโต๊ะโดยเด็ดขาด แม้แต่ภายในแผนกงาน หรือกองงานของตนเอง เนื่องจากเป็นการไม่เรียบร้อยเหมาะสม ไม่เคารพต่อ สถานที่ราชการเป็นภาพที่ไม่ดีในสายตาของผู้บังคับบัญชา และบุคคลภายภายนอกที่มาติดต่อราชการได้ (หากทำได้จึงไม่ควรสวมใส่จะดีกว่า เพราะอาจเผลอสวมใส่ออกมาภายนอกโต๊ะตนเองได้)
40. ในวันเวลา ราชการปกติ สมควรกำกับดูแลบุตรหลานไม่ให้เล่น หรือวิ่งเล่นส่งเสียงดังในเขตบริเวณกรม เพราะจะสร้างความรำคาญกับบุคคลอื่นที่ปฏิบัติงาน และอาจจะเป็นสาเหตุทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทกันได้ ที่สำคัญเป็นการแสดงให้เห็นถึงการขาดความรับผิดชอบ และการขาดการอบรมสั่งสอนที่ดี
41. ควรแนะนำให้บุตรหลาน หรือสามีภรรยา ให้รู้จักมารยาทในการเคารพผู้ที่มีอาวุโสสูงกว่า เช่น พี่ ป้า น้า อา ลุงที่ทำงานในกรมด้วย เมื่อจำเป็นต้องเข้ามาในกรม เพราะจะเป็นสิ่งที่แสดงการอบรมสั่งสอนของตน และยังเป็นสร้างความเอ็นดู และความมีเสน่ห์ให้กับตนเองอีกด้วย
42. เมื่อจำเป็นต้องเข้ามาใน กรม ในเวลาราชการโดยที่ตนมิได้ปฏิบัติงานตามปกติ สมควรต้องแต่งกายให้สุภาพสวม ใส่รองเท้าให้เหมาะสม (เว้นรองเท้าแตะ) เพราะเป็นมารยาทที่ต้องให้เกรียติกับสถานที่ราชการในทุกแห่ง

ที่มา: มารยาททางทหาร

Tuesday, September 10, 2013

เพราะเธอหรือเปล่า - The Innocent

คนที่เคยห่วง คนที่เคยอยู่ เคยคู่เคียงข้าง เคยจริงใจให้ทุกอย่าง
คนที่เคยบอก คนที่เคยฝาก เคยรักกันมาก แล้วมาจากกันไป

* เป็นความทรงจำ ความผูกพันยังคงย้ำเตือนอยู่
ความจริงในใจ ก็รู้ว่าคงไม่อาจลืม
คนเคยดูแล เคยห่วงใยเป็นเพียงแค่วันก่อน
ยังคงอาวรณ์ เฝ้าคิดถึงคนที่ห่างไกล

** เพราะเธอหรือเปล่า ก่อนไม่เคยเหงา
เพราะเธอหรือใคร ก่อนไม่เคยรู้ใจกัน
จนวันที่เธอต้องไป ฉันเคยสุขเพราะใคร

คนรักคนหนึ่ง คนซึ้งเกินกว่า คนที่มองค่า ความจริงใจแค่เพียงผ่าน
คนที่เคยใกล้ วันนี้ไกลห่าง ใครรู้ใจบ้าง ก็มีแต่เพียงเธอ

(ซ้ำ * , ** , **)

เพราะเธอ (เพราะเธอหรือเปล่า)
เพราะเธอ (เพราะเธอหรือเปล่า)
ไม่เคยเหงาเพราะเธอหรือใคร (เพราะเธอหรือเปล่า)
ไม่เคยรู้ใจกันจนวันที่เธอไป (เพราะเธอหรือเปล่า)