Monday, September 16, 2013

หลักการพื้นฐานการลงทุนในหุ้น

5 คำแนะนำสำหรับการลงทุนในหุ้น และ Economic Moat กับความได้เปรียบทางการแข่งขันของบริษัท

การลงทุนในหุ้น คือการซื้อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนซึ่งให้สิทธิการเป็นเจ้าของในบริษัทนั้นๆ ตามจำนวนหุ้นที่ถือครอง แม้คำว่า “งบการเงิน” และ “การบัญชี” อาจจะทำให้หลายคนรู้สึกกลัวและไม่อยากทำความเข้าใจกับมัน แต่นี่คือภาษาทางธุรกิจซึ่งนักลงทุนจำเป็นต้องรู้ก่อนจะลงทุนในหุ้นของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง อย่างไรก็ตาม นักลงทุนไม่จำเป็นต้องมีความรู้อย่างนักบัญชี หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนก็สามารถที่จะเข้าใจพื้นฐานของงบการเงินที่สำคัญสามอย่าง คือ งบกำไรขาดทุน งบดุล และงบกระแสเงินสด ที่ช่วยแสดงถึงผลการดำเนินงานและความมั่งคั่งของบริษัทได้

เมื่อนักลงทุนคิดว่าตัวเองได้พบบริษัทที่มีประสิทธิภาพ (เหนือกว่าบริษัททั่วไป) แล้ว สิ่งต่อมาที่นักลงทุนควรค้นหาก็คือ ราคาตลาดตอนนี้เป็นราคาที่นักลงทุนควรจะเข้าไปซื้อหรือไม่ เช่นเดียวกับการซื้อสินค้าเราคงไม่อยากซื้อสินค้าที่ดี แต่ราคาแพงเกินกว่าที่ควรจะเป็น หุ้นก็เช่นเดียวกัน นักลงทุนคงไม่ต้องการซื้อบริษัทในราคาที่แพงเกินความเป็นจริง

การจะค้นพบบริษัทที่มีประสิทธิภาพที่เหนือกว่าบริษัททั่วไปนั้น นักลงทุนจะต้องทำการบ้านหนักพอสมควรในการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท ประกอบกับนักลงทุนบางคนอาจมองว่าการลงทุนด้วยตัวเองจะทำให้ไม่สามารถกระจายความเสี่ยงของพอร์ตโฟลิโอได้เท่าที่ควร ทางออกที่นักลงทุนเหล่านี้เลือกจึงเป็นการลงทุนในกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นแทนการลงทุนในหุ้นรายตัว  อย่างไรก็ตาม หากนักลงทุนต้องการจะเพิ่มหุ้นเฉพาะตัวลงไปในพอร์ตการลงทุน มอร์นิงสตาร์ได้แนะนำแนวทางการลงทุนไว้ 5 ข้อด้วยกัน คือ

1. มองหาบริษัทที่มี Wide Moat (Moat ในที่นี้หมายถึงความได้เปรียบทางการแข่งขันของบริษัท)

ก่อนอื่น เรามาทำความรู้จะกับคำว่า Economic Moat กันก่อน คำนี้เป็นคำที่ตั้งขึ้นโดย วอเรน บัฟเฟต ซึ่งเป็นตัวบ่งบอกว่าบริษัทมีความสามารถในการแข่งขัน (competitive advantage) มากน้อยและยั่งยืนเท่าใด บริษัทที่มี Wide moat มักอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีความได้เปรียบในการทำกำไร และเป็นบริษัทที่มีปัจจัยทางโครงสร้างที่ทำให้ได้เปรียบคู่แข่งในระยะยาว บริษัทเหล่านีจึงเป็นบริษัทที่นักลงทุนสามารถที่จะคาดการณ์ผลกำไรในอนาคตได้ อีกทั้งบริษัทจะมีผลตอบแทนของเงินทุน (Return on Capital) ที่สูงกว่าต้นทุนของเงินทุน (Cost of Capital) และสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว

ข้อได้เปรียบของบริษัทที่มี Wide moat นั้นคือ มีความเป็นไปได้สูงที่เมื่อเวลาผ่านไปมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทจะเพิ่มขึ้นและทำให้มูลค่าในส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มตามไปด้วย พูดได้ว่าเวลาเป็นตัวช่วยส่งเสริมบริษัทเหล่านี้   แต่ในทางกลับกัน หากนักลงทุนซื้อหุ้นในบริษัทที่ไม่มี Wide moat เมื่อเวลาผ่านมูลค่าหุ้นของบริษัทอาจลดลง การซื้อหุ้นพวกนี้ก็เหมือนกับว่านักลงทุนกำลังคาดหวังให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นมากพอจนนักลงทุนสามารถขายเพื่อทำกำไร หรือที่เรียกว่าการเก็งกำไรนั่นเอง แม้ว่ามอร์นิ่งสตาร์เองยังไม่ไม่มีการให้อันดับ Economic Moat สำหรับหุ้นไทยเหมือนในต่างประเทศ แต่ว่านักลงทุนก็สามารถวิเคราะห์จากบริษัทที่คุณสนใจอยู่ได้เองว่ามี Moat หรือไม่ โดยดูจากงบการเงิน และหลายๆปัจจัย เช่น มูลค่าและความยั่งยืนของสินทรัพย์ไม่มีตัวตน (ยี่ห้อ สิทธิบัตร ฯลฯ) ความได้เปรียบด้านต้นทุน (cost advantage) เครือข่ายของผู้บริโภค (network effect) ต้นทุนในการเปลี่ยนการใช้สินค้าหรือบริการของผู้บริโภค (switching cost) และธุรกิจที่เป็นผู้นำในตลาดที่มีขนาดจำกัด (efficient scale)

2. ลงทุนเฉพาะในหุ้นที่เห็นว่ามี Margin of Safety

ในการซื้อหุ้น แทนที่เราจะซื้อหุ้นตามคนส่วนใหญ่ เราควรจะซื้อหุ้นที่เราเห็นว่าราคาตลาดขณะนั้นตำกว่ามูลค่ายุติธรรม (Fair value) หรือมูลค่าที่แท้จริงที่เราประเมินไว้  การซื้อหุ้นแบบนี้ ส่วนต่างของราคาที่จ่ายกับมูลค่าที่แท้จริงของหุ้นที่ได้รับจะถือเป็นกำไรของนักลงทุน ที่เราเรียกว่า Margin of Safety โดยนักลงทุนไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงเรื่องทิศทางโดยรวมของตลาดหุ้นเพราะไม่มีใครสามารถคาดการณ์ตลาดได้ถูกต้องตลอดเวลา ดังนั้นในการซื้อหุ้นนักลงทุนควรต้องฝึกฝนอย่างมีวินัยและต้องไม่กลัวว่าจะพลาดโอกาสหากไม่ซื้อหุ้นในช่วงที่ตลาดขึ้น ความอดทนจึงถือเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับนักลงทุน เนื่องจากหุ้นดีๆอาจต้องใช้เวลาหลายเดือนหรือนานกว่านั้นกว่าที่จะแสดงให้เห็นถึงมูลค่าที่แท้จริงของมัน

แน่นอนว่า ในการจะตรวจสอบหุ้นที่ซื้อขายกันในตลาดว่ามี Margin of Safety เพียงพอหรือไม่นั้น นักลงทนต้องประมาณการณ์มูลค่าที่แท้จริงของหุ้นตัวนั้นเสียก่อน และกำหนด Margin of Safety ที่นักลงทุนต้องการก่อนซื้อหุ้น ถ้าหากบริษัทมีความเสียงไม่มากนัก นักลงทุนอาจต้องการซื้อในราคาที่ถูกกว่ามลค่าที่แท้จริงประมาณ 15-20% แต่ถ้าบริษัทมีความเสี่ยงมาก คุณอาจต้องการซื้อในราคาที่ถูกกว่ามูลค่าที่แท้จริงประมาณ 30-40% ซึ่งค่าของ Margin of Safety นี้จะเปลี่ยนไปตามความต้องการของนักลงทุนแต่ละคน

การซื้อหุ้นโดยใช้หลัก Margin of Safety นั้นก็เหมือนกับว่านักลงทุนได้สร้างหลักประกันไว้ส่วนหนึ่งแล้ว หากเกิดกรณีที่การประเมินมูลค่าหุ้นของนักลงทุนผิดพลาดไปนักลงทุนก็อาจจะไม่เสียหายมากนัก นอกจากนี้ หากนักลงทุนซื้อหุ้นในบริษัทที่มี Widemoat มูลค่าหุ้นของนักลงทุนก็มีโอกาสที่จะเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ดังนั้น แม้ว่านักลงทุนจะทำการประเมินมูลค่าหุ้นพลาดไปบ้าง แต่ท้ายที่สุด มูลค่าของหุ้นก็จะยังเพิ่มขึ้นไปจนถึงมูลค่าที่แท้จริง การซื้อหุ้นบริษัทที่มี Widemoat นั้นจึงเปรียบได้กับการเพิ่ม Margin of Safety เข้าไปในการลงทุนด้วยอีกทางหนึ่ง

3. อย่ากลัวที่จะถือเงินสด

การถือเงินสดนั้น เปรียบเหมือนการมีทางเลือกที่จะหาประโยชน์จากความผันผวนของตลาด มูลค่าของทางเลือกนี้จะเพิ่มขึ้นเมื่อความผันผวนของตลาดมากขึ้น นั่นก็คือ ภาวะที่ตลาดมีความผันผวนนั้นอาจเปิดโอกาสให้นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นในบริษัทที่มี Wide moat ที่ราคาตลาดได้ปรับตัวลดลงได้ทันที เนื่องจากนักลงทุนมีเงินสดในมืออยู่แล้ว

นักลงทุนหลายคนมักจะละเลยข้อสำคัญในการลงทุนข้อนี้ไปและเลือกที่จะลงทุนให้เต็มวงเงินที่มีสำหรับพอร์ตโฟลิโอโดยไม่ถือเงินสดไว้ หรือแม้แต่นักการเงินที่รับบริหารเงินให้นักลงทุนก็ยังรู้สึกว่าพวกเขาควรจะลงทุนเต็มจำนวนอยู่ตลอดเวลาแม้ว่ายังไม่มีโอกาสซื้อที่เหมาะสมก็ตาม ดังนั้น เมื่อตลาดอยู่ในช่วงขาลง พวกเขาจึงได้แค่มองดูอยู่เฉย ๆ (หรือที่แย่ไปกว่านั้น อาจจะขายหุ้นทิ้งในราคาที่เกือบต่ำสุด)

4. อย่ากลัวที่จะถือหุ้นเพียงไม่กี่ตัว

วอเรน บัฟเฟต กล่าวว่า “เขามีความสุขแม้ว่าจะถือหุ้นเพียงแค่ตัวเดียว” แต่สำหรับนักลงทุนทั่วไปนั้น การมีหุ้นสัก 5-6 ตัวในพอร์ตโฟลิโออาจเป็นความคิดที่ดี ถ้าในกรณีที่นักลงทุนรู้สึกว่าเขาต้องการถือหุ้นมากกว่า 20 ตัวซึ่งอาจไม่ได้เป็นไปตามแบบ Value Investing (การลงทุนแบบเน้นคุณค่า) และวิธีของมอร์นิ่งสตาร์ อาจเป็นไปได้ว่านักลงทุนกำลังซื้อหุ้นเพื่อเก็งกำไรและพยายามกระจายความเสี่ยงของการเก็งกำไรโดยการถือหุ้นหลายตัว อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรจะเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า ความเสียงจะเพิ่มขึ้นหากพอร์ตโฟลิโอมีการกระจุกตัวมากเกินไป เว้นไว้เสียแต่ว่านักลงทุนจะลงทุนตามวิธีต่อไปนี้

1. ซื้อหุ้นบริษัทที่มี Wide moat เท่านั้น ซึ่งมูลค่าที่แท้จริงจะเพิ่มขึ้นตามเวลา

2. ซื้อหุ้นเหล่านั้น เมื่อราคาต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรม (Margin of Safety)

3. ระยะเวลาการลงทุนควรมีอย่างน้อย 3 ปีสำหรับการลงทุนในหุ้นแต่ละตัว และต้องไม่ลืมว่าหุ้นอาจใช้เวลาซักระยะกว่าที่ตลาดจะสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของบริษัท

ถ้านักลงทุนไม่ต้องการทำตามวิธีสามข้อนี้ในหุ้นทุกตัวที่ซื้อ นักลงทุนอาจต้องกระจายความเสี่ยงของการลงทุนในพอร์ตโฟลิโอให้มากขึ้น

5. อย่าซื้อขายบ่อย

ถ้านักลงทุนใช้วิธีที่กล่าวมาข้างต้นนี้ นักลงทุนก็ไม่จำเป็นต้องซื้อขายบ่อยเพราะได้ลงทุนเฉพาะในบริษัทที่มีลักษณะ Wide moat ซึ่งมีความได้เปรียบทางการแข่งขันในระยะยาว และสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ถือหุ้นไปเรื่อยๆ เนื่องจากมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หุ้นลักษณะนี้จึงเหมาะกับการลงทุนแบบซื้อแล้วถือไว้ (buy-and-hold) มากกว่า

ว่ากันตามจริงแล้ว ไม่ว่านักลงทุนจะเก่งแค่ไหนก็ไม่สามารถคาดการณ์มูลค่าที่แท้จริงของหุ้นได้อย่างถูกต้อง นักลงทุนทำได้แค่ประเมินมูลค่าของหุ้นภายใต้สภานการณ์การเติบโตของกำไรในอนาคต กล่าวง่ายๆคือ โอกาสที่นักลงทุนจะประเมินมูลค่าหุ้นให้ถูกต้องนั้นเป็นไปได้ยาก ดังนั้นการที่นักลงทุนจะขายหุ้นตัวหนึ่งเพื่อไปซื้ออีกตัวหนึ่งนั้นอาจจะไม่คุ้มค่าเลยเพราะนักลงทุนเองก็ไม่สามารถตอบได้ว่าตัวเองประเมินมูลค่าหุ้นตัวไหนได้ถูกต้องมากน้อยอย่างไร

ยิ่งพอรวมต้นทุนในการซื้อขายแต่ละครั้ง ซึ่งรวมถึง ภาษี  ส่วนต่างระหว่างราคาเสนอซื้อและเสนอขาย (bid–ask spreads) และค่านายหน้าเข้าไป โอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นจากการซื้อขายบ่อยๆ ก็ยิ่งน้อยกว่าการซื้อหุ้นในบริษัทที่มีลักษณะ Wide moat แล้วก็ถือหุ้นแบบนี้ในระยะยาวเสียอีก

ที่มา: Morningstar Thailand Analysts

ลงทุนก่อนเถอะ แล้วค่อยใช้เงินทีหลัง

ผมได้อ่านหนังสือเรื่อง “พ่อรวยและพ่อจนสอนลูก” ผมชอบอยู่บทเรียนหนึ่งที่กล่าวว่า “คนส่วนใหญ่ตั้งใจทำงานหาเงินเพื่อตอบสนองความต้องการส่วนตัว แต่มีคนส่วนน้อยที่ตั้งใจที่จะเก็บเงินเพื่อให้เงินทำงานแทนเรา” ผมยอมรับว่าการตัดกิเลส ความอยากได้ไม่สิ้นสุด เป็นเรื่องยาก อาจต้องศึกษาทฤษฎีเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง หรืออาจถึงกับต้องศึกษาพุทธศาสานา ในเรื่องการเดินสายกลาง เพื่อที่จะตัดกิเลสความอยากได้ให้ได้ เพราะเมื่อใดก็ตามที่เราใช้เงิน ไปตอบสนองความต้องการส่วนตัว ในเรื่องที่ไม่จำเป็น เราจะสูญเงินที่สามารถทำงานแทนเราได้ตลอดชีวิต เสียดายแทนครับ

ทำไมต้องให้เงินทำงานแทนเรา คำตอบชัดเจนในตัวเอง คือเราต้องการอิสรภาพทางการเงิน และเมื่อใดก็ตามที่เราให้เงินทำงานหาเงิน จนพอค่าใช้จ่ายของเรา เราจะไม่ต้องกังวลเรื่องการหาเงินด้วยตนเองอีกต่อไป ถึงเวลานั้นลาออกจากงานประจำ เลิกทำธุรกิจส่วนต้ว แล้วมาหาความสุขกับชีวิตดีกันดีกว่า

วิธีที่จะให้เงินทำงาน (หาเงิน) แทนเราก็คือการนำเงินที่หามาได้ไปลงทุนซื้อทรัพย์สินเพื่อให้ทรัพย์สินนั้นสร้างผลตอบแทนให้เรา

คนส่วนใหญ่นำเงินไปตอบสนองความต้องการตัวเองก่อน ด้วยการซื้อสิ่งของที่อาจไม่จำเป็นในชีวิต ซึ่งบางครั้งเป็นการสร้างภาระ เช่นนำไปซื้อรถแพงๆ เปลี่ยนมือถือเป็นว่าเล่น หรือตามเทคโนโลยีจนเหนื่อย ลองคิดดูว่าที่ผ่านมา เราสูญเงินไปกับเรื่องไม่จำเป็นมากน้อยแค่ไหน และหากเปลี่ยนสิ่งของเหล่านั้นมาเป็นเงิน เราจะได้เท่าไร ไม่ต้องนึกถึงว่าเงินเหล่านั้น จะมาสร้างผลตอบแทนได้เท่าไรในอนาคต เราจะเปลี่ยนแนวทางการใช้เงินวันนี้ หรือจะรอจนเราต้องถูกบังคับให้เปลี่ยน และมันมักจะสายเกินไป

แล้วจะลงทุนอะไรละ หลายคนอาจเข้าใจผิดว่าการนำเงินไปฝากธนาคารและได้ดอกเบี้ย 2% - 3% เป็นการลงทุน ซึ่งไม่ใช่ นั้นเรียกว่าการออม การลงทุนคือการนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น และได้

ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น เช่นการซื้อตราสารหนี้ หรือซื้อหุ้น อย่างไรก็ตามท่านอาจเป็นคนหนึ่งที่บอกว่า ฉันพอใจกับผลตอบแทน 2% - 3% ไม่อยากจะเสี่ยงอะไร แต่อย่าลืมนะครับว่าเราจะต้องเสียภาษีดอกเบี้ย 15% ซึ่งนั้นหมายถึงเราจะได้ผลตอบแทนสุทธิเพียง 1.7% - 2.55% เท่านั้น แต่พิจาณาเงินเฟ้อในประเทศระยะยาวที่ประมาณ 3% การฝากเงินไว้กับธนาคารจะทำให้เราขาดทุนตลอดเวลา เนื่องจากผลตอบแทนไม่คุ้มค่าเงินเฟ้อ แล้วหากยังคงเป็นเช่นนี้ จะเกิดอะไรขึ้น เราก็จะต้องทำงานหาเงินมาเพิ่มตลอดเวลา เกษียณเมื่อไรก็ไม่รู้ ดังนั้นสิ่งที่ท่านต้องให้ความใส่ใจคือการลงทุนในสินทรัพย์เพื่อให้เงินทำงานแทนเราบ้าง และให้ทำงานตลอด 24 ชั่วโมงไม่มีวันหยุด ใช้เงินเยี่ยงทาสก็ว่าได้ครับ รับรองเงินไม่บ่นให้คุณได้ยินสักคำ

หุ้นเป็นทางเลือกหนึ่งที่ดีที่สุดในการให้เงินทำงาน หลายคนบอกว่ามีความเสี่ยง แต่หากเราลงทุนระยะยาวและต่อเนื่อง ความเสี่ยงดังกล่าวจะลดลงอย่างมหาศาล นอกจากนั้นความเสี่ยงยังอยู่ที่เราไม่มีความรู้เรื่องหุ้นด้วย และหากเรามีความรู้มากขึ้น ความเสี่ยงจะลดลงได้เช่นกัน ลองย้อนกลับไป 30 ปีที่แล้ว (ผ่านทั้งวิกฤติต้มยำกุ้ง วิกฤติ subprime ในสหรัฐฯ) ไม่ว่าคุณจะลงทุนอะไรก็ตาม หุ้นเป็นทรัพย์สินที่ให้ผลตอบแทนมากที่สุดเฉลี่ยปีละ 14% (รวมเงินปันผล) ขณะที่ลงทุนในตราสารหนี้เอกชนได้ 8% ต่อปี และฝากเงินในธนาคารได้ 5% ต่อปี คิดต่อไปหากย้อนเวลากลับไปได้ 30 ปี คุณกับเพื่อนคุณตอนนั้นมีอายุ 30 ปี มีเงินเดือน 1 หมื่นบาทเท่ากัน ให้เงินเดือนเพิ่มขึ้นปีละ 5% แต่คุณแบ่งเงิน 20% ของเงินเดือนมาลงทุนหุ้น แต่เพื่อนคุณแบ่งเงิน 20% มาออมเงินโดยฝากธนาคาร คุณทราบไหมครับว่าจะเกิดอะไรขึ้น คุณจะมีเงินทั้งสิ้น 14.18 ล้านบาทตอนคุณอายุ 60 ปี แต่เพื่อนคุณจะมีเงินแค่ 3.12 ล้านบาท (ไม่รวมภาษีดอกเบี้ยที่เพื่อนคุณต้องเสียอีก) เห็นความแตกต่างไหมครับ แล้วคุณจะไม่เริ่มศึกษาการลงทุนในหุ้นเชียวหรือครับ รับรองการลงทุนหุ้น มีทั้งวิธีแบบง่ายที่สุด แบบที่เรายอมรับว่าเราไม่มีความรู้ จนถึงแบบยากที่สุด ที่ทำให้นักลงทุนหุ้นหลายคน กลายเป็นคนที่รวยอันดับต้นๆ ของโลกหรือของประเทศเลยทีเดียว

ที่มา: คุณกวี ชุกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บมจ หลักทรัพย์ กสิกรไทย

Thursday, September 12, 2013

Parent's Opinions : ชีวิต “โสด” ดีจริงหรือ?

ไม่รู้ว่าเป็นข้ออ้างสำหรับคนไร้คู่หรือไม่ กับประโยคที่ว่า “อยู่เป็นโสด สนุก และมีความสุขกว่าตั้งเยอะ” เห็นได้จากเพื่อนของทีมงานบางคนที่ตั้งใจจะใช้ชีวิตโสด เพราะไม่อยากถูกมัด และมีบ่วงคอยรัดตัว ถึงแม้จะต้องทนกับคำว่าขึ้นคานก็ตาม แต่ถ้าให้เลือกระหว่าง “อิสระ” กับ “ภาระ” เปอร์เซ็นต์ของการครองชีวิตโสดนับวันยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ

ไม่ต่างกับคนรู้จักของทีมงานจำนวนหนึ่งที่แต่งงานมีลูกกันแล้ว แต่ถวิลหาอยากกลับไปใช้ชีวิตโสดอีกครั้ง เพราะได้ใช้ชีวิตส่วนตัวอย่างเต็มที่ และไม่ต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้ง ทั้งเรื่องการศึกษาของลูก ค่าใช้จ่ายภายในบ้าน และอื่นๆ อีกมากมาย

ในขณะที่คนอีกกลุ่มหนึ่ง กลับมองว่า อยู่เป็นโสดทั้งเหงา และโดดเดี่ยว มิหนำซ้ำยังไม่มีคนดูแลในยามแก่เฒ่า หรือไม่มีใครที่สามารถฝากผีฝากไข้ได้เลย
    
และนี่จึงเป็นที่มาของหัวข้อคำถามใน Parent's Opinions สัปดาห์นี้ที่เราขอเปิดพื้นที่ให้ท่านผู้อ่านได้เข้ามาวิเคราะห์กันอย่างตรงไปตรงมาว่า ระหว่างชีวิตโสด VS ชีวิตคู่ แบบไหนที่คุณคิดว่าดีกว่ากัน เข้ามาบอกเล่า และแลกเปลี่ยนกันได้ทางกล่องแสดงความคิดเห็นด้านล่างนี้ หรือถ้าใครพอจะมีแง่มุม หรือประสบการณ์ดีๆ ที่เห็นสมควรแก่การแบ่งปัน ทีมงานยินดีน้อมรับด้วยความขอบคุณครับ
    
ทีมงาน Life & Family
*****************
ความคิดเห็นที่ 17
  
ผมมีความเห็นว่า ท่านที่บอกว่าได้อย่างเสียอย่าง เป็นความคิดเห็นที่เป็นกำปั้นทุบดินเกินไปครับ และประเด็นของเรื่องนี้ผู้เขียนก็ตั้งโจทย์ไว้แล้วว่าอยากได้ความคิดเห็นว่า การมีคู่ครองหรือเป็นโสดอะไรดีกว่ากัน เพราะฉะนั้นการแสดงความคิดเห็นควรเน้นด้านใดด้านหนึ่งและบอกเหตุผลของตนเองออกมาให้ชัด มันจะได้เป็นข้อมูลสำหรับคนอื่น ๆ จะได้นำไปคิดพิจารณาต่อไป และเป็นข้อมูลที่จะนำมาใช้ได้ในอนาคตด้วย

ตัวผมเองผ่านการมีครอบครัวและเลิกลากันไปเรียบร้อยแล้วโดยไม่มีบุตรมาเป็นปัญหาในการตัดสินใจ ส่วนสาเหตุก็เป็นเรื่องแนวคิดของแต่ละฝ่ายโดยไม่มีปัญหาด้านชู้สาวมือที่สามใด ๆ ทั้งสิ้น

จากประสบการณ์ของผมเองเมื่อเวลาผ่านไปก็ได้ข้อสรุปของตนเองว่า การมีชีวิตคู่นั้นสิ่งสำคัญคือทั้งสองคนหวังจะมีบุตรเพื่อสืบทอดวงศ์ตระกูลต่อไปหรือไม่ หากต้องการมีบุตรการมีชีวิตคู่จึงจะมีได้และเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขที่แท้จริง ในกรณีที่ไม่ได้คิดหวังจะมีบุตรไว้สืบทอดวงศ์ตระกูลการมีชีวิตคู่แค่มีเพื่อนใกล้ชิดที่รู้ใจ และเป็นคู่ครองกันไปตลอดชีวิตนั้นจะมีได้ก็เมื่อคนทั้งสองเข้าใจแต่ละฝ่ายอย่างดีและยอมรับกันได้ดีด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมากในความรู้สึกของผม เพราะคนเรานั้นอาจมีช่วงชีวิตที่เปลี่ยนแปลงกันได้และแนวคิดก็อาจเปลี่ยนไปได้เช่นกัน นอกจากนั้นรสนิยมส่วนตัวก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญเช่นกัน หากไม่สอดคล้องกันจริง ๆ แล้วปัญหาจะเกิดได้ทันที

การใช้ชีวิตอยู่กินร่วมกันก่อนการสมรสนั้น ก็เป็นอีกแนวความคิดหนึ่งที่เคยมีการนำเสนอต่อสังคม เรื่องนี้ในต่างประเทศเขานิยมทำกันเพราะเขาไม่ได้คิดในด้านเพศสัมพันธ์ว่าสำคัญ เพราะเขาถือว่าเป็นประสบการณ์เท่านั้น แต่การจะถือแบบนี้ได้ เราต้องยอมรับกันอย่างแท้จริงว่า ผู้ที่เราเลือกมาเป็นคู่ครองอาจผ่านการมีเพศสัมพันธ์มามากมายแล้วก็ได้โดยไม่คิดมาก (อย่างแท้จริง) ปัญหาการเป็นคนโสดหรือมีคู่ครองจึงไม่ใช่สาระสำคัญเท่าใดนักหากคิดแบบนี้

คนไทยเรายังไม่ค่อยยอมรับเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ของฝ่ายหญิงก่อนการสมรส ทั้ง ๆ ที่ฝ่ายชายเองผ่านการมีเพศสัมพันธ์มากมายแล้วก็ได้ เพราะสภาพสังคมเอื้อให้เป็นเช่นนั้น แต่สังคมทุกวันนี้สิ่งเหล่านี้กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จึงเป็นประอีกประเด็นหนึ่งที่เราต้องพิจารณาว่าเราจะยอมรับได้ในระดับไหน ถูกผิดเป็นเรื่องที่สรุปได้ยาก มันอยู่ที่ใจเราเองเท่านั้น

การมีคู่ครองนั้นฐานะไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะเราจะเห็นได้ว่ามีคู่ครองมากมายที่ฐานะยากจนและมีความสุขอยู่ร่วมกันได้ ช่วยกันทำมาหากินและบุตรสืบทอดได้อย่างอดทนและไม่มีปัญหา ทั้งนี้ทั้งนั้นคู่ครองคู่นั้นต้องมีทัศนคติที่ดีและรู้จักการเลี้ยงดูบุตรเป็น นั่นหมายถึงว่าทั้งคู่มีพื้่นฐานด้านความรู้พอสมควรที่จะมีครอบครัวได้

การอยู่เป็นโสดตัวคนเดียวที่หลายท่านกล่าวว่าเป็นชีวิตที่เงียบเหงา มันอาจจริงแต่จะเป็นแค่ช่วงเวลาระยะสั้น ๆ เท่านั้นเอง และหากคุณหาข้อสรุปในการใช้ชีวิตส่วนตัวได้แล้วผมว่าปัญหานี้ไม่มีแน่นอน เพราะเรามีเพื่อนได้ การมีเพื่อนที่ดีและสนิทเราหาได้หลายคน แต่การมีคู่ครองที่ดีนั้นเราหาได้คนเดียว ทั้งนี้ทั้งนั้นพื้นฐานอยู่ที่ตัวเราเองเป็นหลัก ถ้าเราทำตัวไม่ดีชีวิตก็ไม่ดี หากเราทำตัวได้ดีชีวิตจะได้ดีเช่นกันและไม่เงียบเหงาเลย แต่สิ่งสำคัญสำหรับคนโสดอีกเรื่องหนึ่งก็คือ เราต้องสร้างฐานะเราให้มั่นคงและคิดให้รอบคอบในการใช้สอยต่าง ๆ โปรดอย่าลืมว่าชีวิตคนโสดค่าใช้จ่ายจะสูงกว่าคนมีครอบครัว (หมายถึงค่าเฉลี่ยต่อหัวนะครับ) ดังนั้นการใช้ชีวิตโสดนั้นต้องวางแผนการเงินของตัวเองให้รอบคอบด้วย เพราะในอนาคตเมื่ออายุมากแล้วเราต้องใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ส่วนตัว เพราะไม่มีครอบครัวช่วยดูแล ซึ่งต้องใช้เงินทั้งสิ้น

ครับผมก็บอกเล่าประสบการณ์จริงของตัวเองให้ท่านทั้งหลายได้พิจารณากัน รักชอบวิธีใดก็เลือกใช้กันด้วยสติปัญญาและสภาพแวดล้อมของท่านก็แล้วกัน

ที่มา: หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ

วิธีหาความสุขให้ตัวเองชีวิตไม่เหงา

ชีวิตไม่เหงา วิธีหาความสุขให้ตัวเอง "โสด" แต่มีความสุข ฉบับคริมานั้น เธอแนะไว้ว่า

1.อย่าตอกย้ำตัวเองว่าเหงา เพราะยิ่งคิดจะยิ่งเหงา
2.เวลาเหงาอย่าคิดขวนขวายมีคู่ ถ้าไม่เจอจะเจ็บเอง
3.อย่าอิจฉาคนมีคู่ ให้คิดว่าเราก็มีคู่ คู่พ่อแม่ คู่เพื่อน คู่พี่น้อง
4.เห็นคนอื่นจูงมือกัน ต่อมอิจฉากำเริบ สลัดความคิด แล้วไปจูงมือเพื่อน พี่น้อง พ่อแม่ ช็อปปิ้ง เดินดูของให้หนำใจแทน
5.ที่สำคัญทำชีวิตให้สดใส ดูแลตัวเอง แม้หน้าตาเป็นด่านแรก แต่สุดท้าย คือ นิสัยใจคอ ขอให้คิดบวก
6.หากฟุ้งซ่าน ลองหันหน้าเข้าธรรมะ จิตใจจะได้สงบขึ้น

ถึง "โสด" แต่ก็มีความสุขอย่างสาวเหมียงนั้น เธอบอกว่า
1.อันดับแรก อย่าคิดขวนขวายมีความรัก ขอให้เชื่อในความมั่นใจของตัวเองว่าเรามีงานทำ มีการศึกษา มีเพื่อน มีครอบครัวที่รัก
2.เหงานักไปกินข้าวกับเพื่อน ไปเสริมสวย ไปช็อปปิ้ง ซื้อของให้ตัวเอง เป็นรางวัลชีวิต
3.อย่าเครียด อย่ากังวล เพราะมีผลต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต ยิ่งทำให้แย่มากกว่าเดิม
4.เริ่มต้นใช้ชีวิตแบบใหม่ เปลี่ยนเสื้อผ้า จัดโต๊ะทำงานใหม่ หาความสุขให้ตัวเอง
5.ให้คิดว่าเรามีคนรักอยู่รอบตัว จากเพื่อน ครอบครัว คนใกล้ชิด ซื้อของให้เพื่อน ครอบครัวแทน

สุดท้าย ทำตัวเองให้มีความสุขทุกวัน ยิ้มรับกับวันใหม่ๆ สลัดเรื่องเก่าๆ ทิ้งให้หมด และทำตัวให้สดใสมากกว่าเดิม คิดบวกเข้าไว้