Sunday, May 01, 2011
Wednesday, April 13, 2011
สงกรานต์
สงกรานต์ เป็นประเพณีปีใหม่ของประเทศไทย ลาว กัมพูชา พม่า ชนกลุ่มน้อยชาวไตแถบเวียดนามและมณฑลยูนนานของจีน ศรีลังกาและทางตะวันออกของประเทศอินเดีย สงกรานต์เป็นคำสันสกฤต หมายถึงการเคลื่อนย้าย ซึ่งเป็นการอุปมาถึงการเคลื่อนย้ายของการประทับในจักรราศี หรือคือการเคลื่อนขึ้นปีใหม่ในความเชื่อของไทยและบางประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชาวต่างประเทศเรียกว่า "สงครามน้ำ"
สงกรานต์ เป็นประเพณีเก่าแก่ของไทยซึ่งสืบทอดมาแต่โบราณคู่มากับประเพณีตรุษ จึงมีการเรียกรวมกันว่า ประเพณีตรุษสงกรานต์ หมายถึงประเพณีส่งท้ายปีเก่า และต้อนรับปีใหม่ คำว่าตรุษเป็นภาษาทมิฬ แปลว่าการสิ้นปี
พิธีสงกรานต์ เป็นพิธีกรรมที่เกิดขึ้นในสมาชิกในครอบครัว หรือชุมชนบ้านใกล้เรือนเคียง แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนไปสู่สังคมในวงกว้าง และมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนทัศนคติ และความเชื่อไป ในความเชื่อดั้งเดิมใช้สัญลักษณ์เป็นองค์ประกอบหลักในพิธี ได้แก่ การใช้น้ำเป็นตัวแทน แก้กันกับความหมายของฤดูร้อน ช่วงเวลาที่พระอาทิตย์เคลื่อนเข้าสู่ราศีเมษ ใช้น้ำรดให้แก่กันเพื่อความชุ่มชื่น มีการขอพรจากผู้ใหญ่ การรำลึกและกตัญญูต่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับ ในชีวิตสมัยใหม่ของสังคมไทยเกิดประเพณีกลับบ้านในเทศกาลสงกรานต์ นับวันสงกรานต์เป็นวันครอบครัว ในพิธีเดิมมีการสรงน้ำพระที่นำสิริมงคล เพื่อให้เป็นการเริ่มต้นปีใหม่ที่มีความสุข ปัจจุบันมีพัฒนาการและมีแนวโน้มว่าได้มีการเสริมจนคลาดเคลื่อนบิดเบือนไป เกิดการประชาสัมพันธ์ในเชิงการท่องเที่ยวว่าเป็น ‘Water Festival’ เป็นภาพของการใช้น้ำเพื่อแสดงความหมายเพียงประเพณีการเล่นน้ำ
การที่สังคมเปลี่ยนไป มีการเคลื่อนย้ายที่อยู่เข้าสู่เมืองใหญ่ และถือวันสงกรานต์เป็นวัน "กลับบ้าน" ทำให้การจราจรคับคั่งในช่วงวันก่อนสงกรานต์ วันแรกของเทศกาล และวันสุดท้ายของเทศกาล เกิดอุบัติเหตุทางถนนสูง นับเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นตามการเปลี่ยนแปลงหลายด้านของสังคม นอกจากนี้ เทศกาลสงกรานต์ยังถูกใช้ในการส่งเสริมการท่องเที่ยว ทั้งต่อคนไทย และต่อนักท่องเที่ยวต่างประเทศ
วันในเทศกาลสงกรานต์
ปฏิทินไทยในขณะนี้กำหนดให้เทศกาลสงกรานต์ตรงกับวันที่ 13-15 เมษายน ของทุกปี และเป็นวันหยุดราชการ อย่างไรก็ตาม ประกาศสงกรานต์อย่างเป็นทางการจะคำนวณตามหลักเกณฑ์ในคัมภีร์สุริยยาตร์ ซึ่งแต่โบราณมา กำหนดให้วันแรกของเทศกาล เป็นวันที่พระอาทิตย์ย้ายออกจากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษ เรียกว่า "วันมหาสงกรานต์"[ต้องการอ้างอิง] วันถัดมาเรียกว่า "วันเนา" และวันสุดท้าย เป็นวันเปลี่ยนจุลศักราชและเริ่มใช้กาลโยคประจำปีใหม่ เรียกว่า "วันเถลิงศก" โดยมึสูตร หา หรคุณจูเลียน (JD) [ต้องการอ้างอิง] วันมหาสงกรานต์ และ วันเถลิงศกดังนี้
JD วันมหาสงกรานต์ = ปัดลง[(292207* (พ.ศ.-1181) -559)/800] + 1954167
JD วันเถลิงศก= ปัดลง[(292207* (พ.ศ.-1181) +1173)/800] + 1954167
จากหลักการข้างต้นนี้ ทำให้ปัจจุบันเทศกาลสงกรานต์มักตรงกับวันที่ 14-16 เมษายน[ต้องการอ้างอิง] (ยกเว้นบางปี เช่น พ.ศ. 2551 และ พ.ศ. 2555 ที่สงกรานต์กลับมาตรงกับวันที่ 13-15 เมษายน) ซึ่งบางปีก็อาจจะตรงกับวันใดวันหนึ่ง
กิจกรรมในวันสงกรานต์
-การทำบุญตักบาตร ถือว่าเป็นการสร้างบุญสร้างกุศลให้ตัวเอง และ อุทิศส่วนกุศลนั้นแก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว การทำบุญแบบนี้มักจะเตรียมไว้ล่วงหน้า นำอาหารไปตักบาตรถวายพระภิกษุที่ศาลาวัด ซึ่งจัดเป็นที่รวมสำหรับทำบุญ ในวันนี้หลังจากที่ได้ทำบุญเสร็จแล้ว ก็จะมีการก่อพระทรายอันเป็นประเพณีด้วย
-การรดน้ำ เป็นการอวยพรปีใหม่ให้กันและกัน น้ำที่รดมักใช้น้ำหอมเจือด้วยน้ำธรรมดา
-การสรงน้ำพระจะรดน้ำพระพุทธรูปที่บ้านและที่วัด และบางที่จัด สรงน้ำพระสงฆ์ ด้วยบังสุกุลอัฐิ กระดูกญาติผู้ใหญ่ที่ตายแล้ว มักก่อเป็นเจดีย์ แล้วนิมนต์พระไปบังสุกุล
-การรดน้ำผู้ใหญ่ คือการไปอวยพรให้ผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ ครูบาอาจารย์ ท่านผู้ใหญ่มักจะนั่งลงแล้วผู้ที่รดก็จะเอาน้ำหอมเจือกับน้ำรดที่มือท่าน ท่านจะให้ศีลให้พรผู้ที่ไปรด ถ้าเป็นพระก็จะนำผ้าสบงไปถวายให้ท่านผลัดเปลี่ยนด้วย หากเป็นฆราวาสก็จะหาผ้าถุง ผ้าขาวม้าไปให้
-การดำหัว ก็คือการรดน้ำนั่นเอง แต่เป็นคำเมืองทางภาคเหนือ การดำหัวเรียกกันเฉพาะการรดน้ำผู้ใหญ่ที่เราเคารพนับถือ ผู้สูงอายุ คือการขอขมาในสิ่งที่ได้ล่วงเกินไปแล้ว หรือ การขอพรปีใหม่จากผู้ใหญ่ ของที่ใช้ในการดำหัวส่วนมากมีผ้าขนหนู มะพร้าว กล้วย และ ส้มป่อย
-การปล่อยนกปล่อยปลา ถือเป็นการล้างบาปที่ทำไว้ เป็นการสะเดาะเคราะห์ร้ายให้มีแต่ความสุขความสบายในวันขึ้นปีใหม่
-การนำทรายเข้าวัด ทางภาคเหนือนิยมขนทรายเข้าวัดเพื่อเป็นนิมิตโชคลาภ ให้มีความสุขความเจริญ เงินทองไหลมาเทมาดุจทรายที่ขนเข้าวัด
ที่มา: สงกรานต์ จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Wednesday, April 06, 2011
วันจักรี
วันจักรี เป็นวันที่ระลึกถึงพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และมหาจักรีบรมราชวงศ์ ตรงกับวันที่ 6 เมษายนของทุกปี
ประวัติ
วันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 เป็นวันที่ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เสด็จปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี และทรงสร้างกรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวงของไทย
ด้วยพระมหากรุณาธิคุณดังกล่าว ในปี พ.ศ. 2416 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าฯ ให้หล่อพระบรมรูปพระเจ้าอยู่หัวทั้ง 4 พระองค์ (ร.1-4) เพื่อประดิษฐานไว้ให้พระมหากษัตริย์องค์ต่อมา พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ และประชาชนได้ถวายบังคมระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ เป็นธรรมเนียมปีละครั้ง และโปรดเกล้าให้อัญเชิญไปประดิษฐานไว้บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท และมีการย้ายที่หลายครั้ง เช่น พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ปราสาท และพระที่นั่งศิวาลัยปราสาทเป็นต้น ต่อมาในรัชสมัยรัชกาลที่ 6 ทรงโปรดให้ย้ายพระบรมรูปทั้ง 4 (ร.1-4) มาไว้ ณ ปราสาทพระเทพบิดร ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พร้อมกับพระบรมรูปของรัชกาลที่ 5 พระชนกนาถ
จนกระทั่ง ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2461 การซ่อมแซมก่อสร้างและประดิษฐานพระบรมรูปทั้ง 5 รัชกาล จึงสำเร็จลุล่วง และได้มีพระบรมราชโองการ ประกาศตั้งพระราชพิธีถวายบังคมพระบรมรูป ในวันที่ 6 เมษายนปีนั้น และต่อมา โปรดฯ ให้เรียกวันที่ 6 เมษายนว่า “วันจักรี”
ที่มา: วันจักรี วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Tuesday, April 05, 2011
Saturday, April 02, 2011
Tim Berners-Lee
Tim Berners-Lee (Sir Timothy John "Tim" Berners-Lee) เกิดเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 1955 เป็นนักฟิสิกส์และนักวิทยาศาสตร์สาขาคอมพิวเตอร์ชาวอังกฤษ และเป็นอาจารย์ที่ MIT เป็นผู้คิดค้น World Wide Web ขึ้นในเดือนมีนาคม 1989 และในวันที่ 25 ธันวาคม 1990 เขาได้ประสบความสำเร็จในการพัฒนาระบบการสื่อสารแบบ Client/Server บนอินเทอร์เน็ตโดยใช้โปรโตคอล HTTP (Hypertext Transfer Protocol) รวมทั้งภาษาสำหรับจัดการ Web Document ด้วย HTML (Hypertext Markup Language) ที่สถาบันวิจัย CERN (European Organization for Nuclear Research) โดยมีผู้ช่วยคือนาย Robert Cailliau (เกิดวันที่ 26 มกราคม 1947)
(NeXT Computer System) Web Server, Web Browser และ Web Editor เครื่องแรกของโลกที่ Tim Berners-Lee ใช้สร้าง HTTP และ HTML ที่ สถาบันวิจัย CERN โดยมี Domain Name ของ Web Server เครื่องแรกของโลกคือ http://info.cern.ch เริ่มทำงานแบบ Online ครั้งแรกเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 1991
งานคิดค้น World Wide Web สำเร็จได้โดย Tim Berners-Lee ได้นำแนวคิดของระบบ ENQUIRE (ระบบการแลกเปลี่ยนข่าวสารแบบ Hypertext สำหรับนักวิจัยที่สถาบันวิจัย CERN ซึ่ง Tim Berners-Lee คิดค้นเมื่อปี 1980) มาประยุกต์กับการคิดค้นระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตและการกำหนดมาตรฐานโปรโตคอล TCP/IP, UDP และ DNS ซึ่งเป็นผลมาจากโครงการ ARPANET โดยมีนักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์คนสำคัญหลายคน ดังนี้
1. Jonathan Bruce Postel (6 August 1943 - 16 October 1998) ผู้ออกแบบและกำหนดมาตรฐานโปรโตคอล TCP/IP, UDP, DNS, SMTP และโปรโตคอลอื่นๆ
2. Paul Baran (1926–2011) คิดค้น Packet Switching
3. Donald Davies (7 June 1924 – 28 May 2000) คิดค้น Packet Switching
4. Leonard Kleinrock (เกิด 1934 และยังมีชีวิตอยู่) คิดค้น Queueing Theory เป็นส่วนสำคัญให้ Packet Switching สามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์ และคิดค้นเครืองสื่อสารข้อมูล Interface Message Processor (IMP) ใช้เป็นโหนดในการสือสารของ Packet Switching ในโครงการระบบเครือข่าย ARPANET
Tim Berners-Lee สำเร็จปริญญาตรี โท จาก Queen's College แห่งมหาวิทยาลัย Oxford สาขาฟิสิกส์ (1973,1976) ด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง
ปัจจุบัน Tim Berners-Lee เป็นผู้อำนวยการของ W3C (World Wide Web Consortium) และเป็นนักวิจัยอาวุโสของ MIT CSAIL (Computer Science and Artificial Intelligence Laboratory) และเป็นผู้อำนวยการ WSRI (Web Science Research Initiative) และในเดือนเมษายน 2009 เขาได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกของ United States National Academy of Sciences ที่ Washington D.C.
ที่มา: Tim Berners-Lee
Thursday, March 31, 2011
Jonathan Bruce Postel (Jon Postel)
โจนาธาน บรูซ โพสเทล (Jonathan Bruce Postel)
(6 สิงหาคม 1943 - 16 ตุลาคม 1998) มีอายุได้ 55 ปี เป็นนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน สาขาคอมพิวเตอร์ ผู้พัฒนามาตรฐานระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เป็นบรรณาธิการเอกสาร RFC และเป็นผู้บริหาร Internet Assigned Numbers Authority (IANA)
โจนาธาน บรูซ โพสเทล สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีและปริญญาโทสาขาวิศวกรรมศาสตร์ (1966,1968) และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ (1974) แห่ง UCLA (University of California, Los Angeles) ขณะเขาอยู่ที่ UCLA เขาได้ร่วมงานในการพัฒนาเครือข่าย ARPANET หลังจากนั้นเขาได้ย้ายไปทำงานที่สถาบันวิทยาการสารสนเทศ (Information Sciences Institute) แห่ง University of Southern California
โจนาธาน บรูซ โพสเทล ถือเป็นผู้บุกเบิกอินเทอร์เน็ตคนสำคัญยิ่งและเป็นผู้ออกแบบและกำหนดมาตรฐานโปรโตคอล TCP/IP ซึ่งเป็นโปรโตคอลหลักที่ใช้ในการรับส่งข้อมูลระดับชั้น Transport Layer บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต และนอกจากนี้ยังเป็นผู้ออกแบบและกำหนดมาตรฐานโปรโตคอล DNS รวมทั้งโปรโตคอลอื่นๆ ด้วย
ที่มา: Jon Postel
Monday, March 28, 2011
Paul Baran หนึ่งในผู้บุกเบิกอินเทอร์เน็ตตายแล้ว
หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์รายงานว่านายพอล บารัน (Mr.Paul Baran) วิศวกรอเมริกันที่ช่วยสร้างอาร์พาเนต ( Arpanet) อันเป็นเครือข่ายที่รัฐบาลสหรัฐใช้ก่อนกลายมาเป็นอินเทอร์เนตนั้น เสียชีวิตแล้วขณะมีอายุ 84 ปีที่รัฐแคลิฟอร์เนีย ด้วยโรคมะเร็งปอด
ทั้งนี้ นายบารันนำเสนอการสร้างเครือข่ายด้านการสื่อสารที่เปราะบางน้อยกว่าเครือข่ายทั่วไป ต่อการโจมตีหรือการประสบปัญหา การประดิษฐ์คิดค้นของเขาช่วงกลางทศวรรษ 60 ล้ำยุคมากจนเมื่อเขาไปเสนอแนวคิดเพื่อสร้างเครือข่ายนี้ต่อบริษัทเอทีแอนด์ที ปรากฏว่าถูกบริษัทปฏิเสธ
นายวินตัน เซิร์ฟ รองประธานกูเกิลและเพื่อนสนิทของบารัน กล่าวว่าเอทีแอนด์ทีปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่าว่าแนวคิดของเขาไม่มีทางได้ผล และไม่เข้าร่วมในโครงการอาพราเนต
ทั้งนี้ กระทรวงกลาโหมสหรัฐเป็นผู้สร้างอาร์พาเนตเมื่อปี 2512 และต่อมาเครือข่ายดังกล่าวได้กลายมาเป็นอินเทอร์เน็ต (Internet)
เทคโนโลยีการสื่อสารที่นายบารันนำเสนอคือ เทคโนโลยีการสื่อสารข้อมูลแบบบล็อกข้อมูลกระจาย (Messages Block Distributed Communications) หรือที่เรียกว่า Packet Switching ซึ่งในขณะที่นายบารันคิดค้นเทคโนโลยีสื่อสารแบบใหม่นี้ (เป็นการสื่อสารแบบดิจิตอล) โลกในขณะนั้นใช้เทคโนโลยีการสื่อสารแบบ Circuit Switching
เทคโนโลยีการสื่อสารแบบ Packet Switching เป้นการคิดค้นจากนักวิจัยจำนวน 3 คน ดังนี้
1.Paul Baran (1926–2011) คิดค้น Packet Switching
2.Donald Davies (7 June 1924 – 28 May 2000) คิดค้น Packet Switching
3.Leonard Kleinrock (เกิด 1934 และยังมีชีวิตอยู่) คิดค้น Queueing Theory เป็นส่วนสำคัญให้ Packet Switching สามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์ และคิดค้นเครืองสื่อสารข้อมูล Interface Message Processor (IMP) ใช้เป็นโหนดในการสือสารของ Packet Switching ในโครงการระบบเครือข่าย ARPANET
ที่มา:
- กรุงเทพธุรกิจ, "ผู้บุกเบิกอินเทอร์เน็ตตายแล้ว"
- The NewyorkTime, "Paul Baran, Internet Pioneer, Dies at 84"
- Packet Switching
Saturday, March 12, 2011
12 มี.ค 2367
วันนี้เมื่อหลายปีก่อนเป็นวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญคือ เมื่อวันที่ 12 มี.ค 2367 อังกฤษประกาศสงครามครั้งแรกกับพม่าอย่างเป็นทางการ สมัยพระเจ้าบาคญีดอ จากนั้นได้ส่งกองทัพบุกแคว้นยะไข่ ยึดร่างกุ้งได้ในเวลาต่อมา
พบรักในที่ทำงาน
ผมพบบทความนี้โดยบังเอิญและคิดว่าคนในวัยทำงานทุกคนน่าจะได้ประสบกับสถานการณ์ที่เรียกว่า พบรักในที่ทำงาน ดังนั้นผมจึงนำบทความนี้จาก น้อง CUPID มาลงใน Blog ของผม เพื่ออ่านกันแบบสนุกๆ
-----------------
พบรักในที่ทำงาน
อย่างที่ทราบกันดีว่า หลายๆชั่วโมงในหนึ่งวันเราก็อยู่แต่ที่ทำงาน ดังนั้นจึงมีโอกาสเป็นไปได้สูงมากที่จะเป็นแฟนกันในที่ทำงาน อ๊ะอ๊ะแต่ก่อนจะจีบใครในที่ทำงาน เราควรทราบลักษณะเฉพาะของที่ทำงานกันก่อน ซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อไม่ดี เพื่อจะได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้แต่เนิ่นๆค่ะ ลักษณะเฉพาะที่ว่านี้และข้อแนะนำก็คือ
1. ข่าวคราวจะแพร่เร็วมาก โดยเฉพาะข่าวไม่ดีในทุกสังคมจะแพร่เร็วเป็นพิเศษ ดังนั้นถ้าไม่อยากตกเป็นข่าว(เม๊าส์)ก็ควรทำตัวเงียบๆเข้าไว้ค่ะ อย่าจู๋จี๋กันมากเกินไป จนคนหมั่นไส้ หรือเจ้านายต้องเรียกเตือนให้มาทำงาน ม่ายอาว ม่ายอาว
2. ไม่รู้เป็นอะไร พวกนี้จะมีโสดไม่จริงแฝงตัวอยู่เป็นจำนวนมาก ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน(ใครรู้ช่วยบอกด้วยจ้า) ดังนั้นจะรักใครชอบใครควรสืบประวัติดีๆก่อนนะคะ ผู้หญิงบางคนแต่งงานแล้วแต่ไม่ได้เปลี่ยนนามสกุล หรือผู้ชายบางคนแต่งงานแล้ว แต่เป็นประเภทโสดเฉพาะนอกบ้านก็เยอะค่ะ ดังนั้นควรลองถามประวัติกับเพื่อนร่วมงานเค้า หรือหัวหน้า หรือลูกน้องเขาก่อนจะดีที่สุดค่ะ
3. การทำงานด้วยกัน มันต้องมีปัญหาเข้ามาอยู่แล้ว ซึ่งการแก้ไขปัญหาหรือการควบคุมอารมณ์แต่ละคนจะไม่เหมือนกัน ดังนั้นเราควรใช้ความใกล้ชิดกับเพื่อนร่วมงานให้เป็นประโยชน์ โดยการ(แอบ)ถามเพื่อนร่วมงานเค้า ว่าเค้าทำงานเป็นยังไงบ้าง ขี้โมโหมั๊ย มีความรับผิดชอบเรื่องงานมั๊ย ทำงานเครียดหรือไม่ งกกับลูกน้องบ้างเปล่า หรือชอบดุด่าว่ากล่าวโดยไม่มีเหตุผล คำถามพวกนี้ช่วยได้มากทีเดียวค่ะ เพราะมันคือชีวิตประจำวันเค้าเวลาเจอปัญหาหรือการอยู่ต่อหน้าคนอื่น ดังนั้นถ้าเราฟังคำตอบแล้วรับไม่ได้ ก็อย่าไปจีบหรือไปชอบเค้าตั้งแต่ต้นจะดีกว่าค่ะ คนเราดูภายนอกอย่างเดียวมันไม่พอ
4. หนีไม่พ้นต้องเจอกันบ่อย หรือทุกวัน ดังนั้นการคบกัน คงมีบ้างที่มีปัญหากัน จึงให้ระลึกไว้เสมอว่า จงอย่าเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องงาน ไม่ใช่ว่าเวลาทะเลาะกันก็บอกว่า ถ้าให้หนูทำงานกับเค้า หนูไม่ทำ ถ้าเป็นอย่างนี้อาจจะเสียทั้งแฟนเสียทั้งงานได้โดยไม่รู้ตัวนะจ๊ะ
5. มีตัวเชื่อมให้คุยกันมากมาย ทำให้เนื้อหาในการสนทนาไม่น่าเบื่อหน่าย เช่นคุยกันเรื่องปัญหาการทำงาน ปัญหากับเจ้านาย กับลูกน้อง เป็นต้น
6. ใครๆก็รู้จักเราสองคน ดังนั้นควรทำตัวให้ดี จีบกันอย่างสร้างสรรค์ และอย่าทะเลาะกันจนคนอื่นเค้าเอาไปนินทา รักษาภาพพจน์ในที่ทำงานด้วยจ้ะ แล้วก็อย่าให้ตนเองกลายเป็นคนดังในเรื่องความเจ้าชู้จีบไม่เลือก หรือเป็นแฟนกับใครก็คบไม่นานเลิกทุกราย อย่างนี้ใครจะกล้าเข้ามาใหม่ล่ะคะ หรือถ้าต้องเลิกกันก็อย่าไปเที่ยวเล่าความไม่ดีของเค้าให้คนอื่นฟังค่ะ มันไม่ดีเลย
7. ต้องยอมรับสภาพว่า ถ้าจีบไม่ติด หรือเป็นแฟนกันแล้วต้องเลิกกัน ยังไงก็ต้องทำงานด้วยกันกับเค้าให้ได้ค่ะ ต้องมี spirit ในการทำงาน ดังนั้นถ้าจีบควรจีบแบบเนียนๆ อย่าให้ใครรู้จะดีที่สุด หรือถ้ารู้ ก็อย่ารู้วงกว้างมากไป เดี๋ยวเลิกกันจะลำบากตอบคำถาม
ที่มา: น้อง CUPID
-----------------
พบรักในที่ทำงาน
อย่างที่ทราบกันดีว่า หลายๆชั่วโมงในหนึ่งวันเราก็อยู่แต่ที่ทำงาน ดังนั้นจึงมีโอกาสเป็นไปได้สูงมากที่จะเป็นแฟนกันในที่ทำงาน อ๊ะอ๊ะแต่ก่อนจะจีบใครในที่ทำงาน เราควรทราบลักษณะเฉพาะของที่ทำงานกันก่อน ซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อไม่ดี เพื่อจะได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้แต่เนิ่นๆค่ะ ลักษณะเฉพาะที่ว่านี้และข้อแนะนำก็คือ
1. ข่าวคราวจะแพร่เร็วมาก โดยเฉพาะข่าวไม่ดีในทุกสังคมจะแพร่เร็วเป็นพิเศษ ดังนั้นถ้าไม่อยากตกเป็นข่าว(เม๊าส์)ก็ควรทำตัวเงียบๆเข้าไว้ค่ะ อย่าจู๋จี๋กันมากเกินไป จนคนหมั่นไส้ หรือเจ้านายต้องเรียกเตือนให้มาทำงาน ม่ายอาว ม่ายอาว
2. ไม่รู้เป็นอะไร พวกนี้จะมีโสดไม่จริงแฝงตัวอยู่เป็นจำนวนมาก ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน(ใครรู้ช่วยบอกด้วยจ้า) ดังนั้นจะรักใครชอบใครควรสืบประวัติดีๆก่อนนะคะ ผู้หญิงบางคนแต่งงานแล้วแต่ไม่ได้เปลี่ยนนามสกุล หรือผู้ชายบางคนแต่งงานแล้ว แต่เป็นประเภทโสดเฉพาะนอกบ้านก็เยอะค่ะ ดังนั้นควรลองถามประวัติกับเพื่อนร่วมงานเค้า หรือหัวหน้า หรือลูกน้องเขาก่อนจะดีที่สุดค่ะ
3. การทำงานด้วยกัน มันต้องมีปัญหาเข้ามาอยู่แล้ว ซึ่งการแก้ไขปัญหาหรือการควบคุมอารมณ์แต่ละคนจะไม่เหมือนกัน ดังนั้นเราควรใช้ความใกล้ชิดกับเพื่อนร่วมงานให้เป็นประโยชน์ โดยการ(แอบ)ถามเพื่อนร่วมงานเค้า ว่าเค้าทำงานเป็นยังไงบ้าง ขี้โมโหมั๊ย มีความรับผิดชอบเรื่องงานมั๊ย ทำงานเครียดหรือไม่ งกกับลูกน้องบ้างเปล่า หรือชอบดุด่าว่ากล่าวโดยไม่มีเหตุผล คำถามพวกนี้ช่วยได้มากทีเดียวค่ะ เพราะมันคือชีวิตประจำวันเค้าเวลาเจอปัญหาหรือการอยู่ต่อหน้าคนอื่น ดังนั้นถ้าเราฟังคำตอบแล้วรับไม่ได้ ก็อย่าไปจีบหรือไปชอบเค้าตั้งแต่ต้นจะดีกว่าค่ะ คนเราดูภายนอกอย่างเดียวมันไม่พอ
4. หนีไม่พ้นต้องเจอกันบ่อย หรือทุกวัน ดังนั้นการคบกัน คงมีบ้างที่มีปัญหากัน จึงให้ระลึกไว้เสมอว่า จงอย่าเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องงาน ไม่ใช่ว่าเวลาทะเลาะกันก็บอกว่า ถ้าให้หนูทำงานกับเค้า หนูไม่ทำ ถ้าเป็นอย่างนี้อาจจะเสียทั้งแฟนเสียทั้งงานได้โดยไม่รู้ตัวนะจ๊ะ
5. มีตัวเชื่อมให้คุยกันมากมาย ทำให้เนื้อหาในการสนทนาไม่น่าเบื่อหน่าย เช่นคุยกันเรื่องปัญหาการทำงาน ปัญหากับเจ้านาย กับลูกน้อง เป็นต้น
6. ใครๆก็รู้จักเราสองคน ดังนั้นควรทำตัวให้ดี จีบกันอย่างสร้างสรรค์ และอย่าทะเลาะกันจนคนอื่นเค้าเอาไปนินทา รักษาภาพพจน์ในที่ทำงานด้วยจ้ะ แล้วก็อย่าให้ตนเองกลายเป็นคนดังในเรื่องความเจ้าชู้จีบไม่เลือก หรือเป็นแฟนกับใครก็คบไม่นานเลิกทุกราย อย่างนี้ใครจะกล้าเข้ามาใหม่ล่ะคะ หรือถ้าต้องเลิกกันก็อย่าไปเที่ยวเล่าความไม่ดีของเค้าให้คนอื่นฟังค่ะ มันไม่ดีเลย
7. ต้องยอมรับสภาพว่า ถ้าจีบไม่ติด หรือเป็นแฟนกันแล้วต้องเลิกกัน ยังไงก็ต้องทำงานด้วยกันกับเค้าให้ได้ค่ะ ต้องมี spirit ในการทำงาน ดังนั้นถ้าจีบควรจีบแบบเนียนๆ อย่าให้ใครรู้จะดีที่สุด หรือถ้ารู้ ก็อย่ารู้วงกว้างมากไป เดี๋ยวเลิกกันจะลำบากตอบคำถาม
ที่มา: น้อง CUPID
Thursday, March 10, 2011
Aerosmith
ข้อมูลพื้นฐาน
แหล่งกำเนิด บอสตัน รัฐแมสซาชูเส็ตต์ สหรัฐอเมริกา
แนวเพลง ฮาร์ดร็อก, เฮฟวีเมทัล, บลูส์-ร็อก
ปี 1970-ปัจจุบัน
ค่าย Columbia, Geffen
สมาชิก
สตีฟ ไทเลอร์
ชื่อเต็ม : สตีฟ วิคเตอร์ ทอลไลริโค
วันเกิด : 26 มีนาคม 1948
เครื่องดนตรีที่เล่นได้ : ฮาร์โมนิก้า แมนโดนลิน เปียโนและขลุ่ย
โจ เพอร์รี่
ชื่อเต็ม : แอนโธนี โจเซฟ เพอร์รี่
วันเกิด : 10 กันยายน 1950
เครื่องดนตรีที่เล่นได้ : กีตาร์
แบรด วิทฟอร์ด
ชื่อเต็ม : แบรด เออร์เนสต์ วิทฟอร์ด
วันเกิด : 23 กุมภาพันธ์ 1952
เครื่องดนตรีที่เล่นได้ : กีตาร์
ทอม แฮมิลตัน
ชื่อเต็ม : โธมัส วิลเลี่ยม แฮมิลตัน
วันเกิด : 31 ธันวาคม 1951
เครื่องดนตรีที่เล่นได้ : เบสกีตาร์
โจ เครเมอร์
ชื่อเต็ม : โจเซฟ ไมเคิล เครเมอร์
วันเกิด : 21 มิถุนายน 1950
เครื่องดนตรีที่เล่นได้ : กลองและเพอร์คัชชั่น
Aerosmith เป็นวงที่ประสบความสำเร็จสูงสุด วงหนึ่งในยุค 70 พวกเขาเป็นวงฮาร์ดร็อค ที่มีพื้นฐานดนตรี แบบบลูส์ โดยได้แรงบันดาลใจมาจากวงโรลลิ่ง สโตนส์ และเล็ด เซ็พพลิน สตีเว่น ไทเลอร์ นักร้องนำและ โจ เพอร์รี่ มือกีต้าร์ ร่วมกันก่อตั้งวงขึ้นในปีค.ศ. 1970 ในช่วงสิ้นปีนั้น ทอม แฮมิลตัน มือเบส, แบรด วิทฟอร์ดมือริธึ่มกีต้าร์ และโจอี้ เครเมอร์ มือกลอง ก็เข้ามาสมทบ โดยโจอี้ เครเมอร์ เป็นผู้ตั้งชื่อ Aerosmith เป็นชื่อวงดนตรี
วงดนตรีจากบอสตันวงนี้ เซ็นสัญญากับบริษัทแผ่นเสียง โคลัมเบีย เร็คคอร์ดส ในปี 1972 และ1 ปีให้หลังก็ออกผลงานชิ้นแรกในนามAerosmith อัลบั้มดังกล่าว มีเพลงเด่นเป็นเพลงช้าที่ทรงพลังอย่าง Dream On ซึ่งขึ้นถึงอันดับที่ 59 ในอันดับเพลงป๊อป ของนิตยสารบิลบอร์ด อัลบั้มชุดต่อมาคือ Get Your Wings ออกขายในปี 1974 และติดอันดับ อัลบั้มของบิลบอร์ด อยู่นานถึง 86 สัปดาห์ อัลบั้ม Toys In The Attic ในปีค.ศ. 1975 เป็นอัลบั้มสร้างชื่อของAerosmith ด้วยความแรงของ สองซิงเกิ้ลเอกของอัลบั้มคือ Walk This Way กับ Sweet Emotion ทั้งสองเพลงขึ้นถึงอันดับ 10 และ 36 ตามลำดับ และตัวอัลบั้มเองก็ขึ้นถึงอันดับ 11 และตามมาด้วยอัลบั้มชุด Rocks ที่ออกขายในเดือนพฤษภาคม ปี 1976 เป็นอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จสูงสุด เพราะขึ้นถึงอันดับ 3
ช่วงปลายยุคทศวรรษที่ 70 และ 80 สมาชิกวง Aerosmith เริ่มมีปัญหาเรื่องยาเสพติด (สตีฟ ไทเลอร์) หลังการลาออกของโจ เพอร์รี่ และแบรด วิทฟอร์ด สถานภาพของวงก็เริ่มง่อนแง่น แต่เมื่อสมาชิกดั้งเดิมของวง กลับมารวมตัวกันใหม่ในปี 1985 เพื่อทำอัลบั้ม Done With Mirrors อัลบั้มดังกล่าวก็ขึ้นถึงอันดับที่ 36 ทำให้การหวนคืนสู่อันดับเพลงของ Aerosmith กลายเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการเพลงร็อค ถึงเวลานี้ น้อยคนที่จะสงสัยว่า Aerosmith จะยังคงสามารถออกอัลบั้ม ที่ประสพความสำเร็จได้เทียมเท่า หรือมากกว่าผลงานในยุคทศวรรษที่ 70 หรือไม่ ความสำเร็จครั้งใหม่เริ่มต้นเมื่อสตีเว่น ไทเลอร์ และ โจ เพอร์รี่ ที่เพิ่งออกจากสถานบำบัดผู้ติดยา นำเพลงเก่า คือ Walk This Way มาทำใหม่ (Run DMC) และไต่ขึ้นถึงอันดับที่ 4 หลังจากการทำสัญญากับ เกฟเฟ่น เร็คคอร์ดส
Aerosmith เริ่มออกผลงานชุดแรกในสังกัดนี้ ในปี 1987 คือ Permanent Vacation ซึ่งมีเพลงฮิตอย่าง Angel (ขึ้นถึงอันดับ 3) และ Dude (Looks Like A Lady) (อันดับ 12) ปี 1989 Aerosmith ออกอัลบั้ม Pump มีเพลงฮิต What it take (ขึ้นอันดัล 9 ใน Billboard Hot 100 และขึ้นอันดับ 1 Mainstream Rock Tracks) ใน ปี 1993 Aerosmith กลับมา พร้อมกับความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ด้วยอัลบั้ม Get A Grip ซึ่งอยู่ในอันดับอัลบั้มของบิลบอร์ดนานถึง 92 สัปดาห์ และทำให้พวกเขามีเพลงที่ขึ้นถึงอันดับ 1 ได้เป็นครั้งแรก
ในช่วงฤดูร้อนปี 1998 วงที่ดูเหมือนจะไม่มีวันแก่วงนี้ก็ขึ้นถึงอันดับ 1 ในอันดับเพลงของ บิลบอร์ดอีกครั้ง ด้วยเพลง I Don't Want To Miss A Thing ซึ่งเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Armageddon จนถึงปี 2001 พวกเขาก็ได้ออกอัลบั้ม jaded กับ sony music
แหล่งกำเนิด บอสตัน รัฐแมสซาชูเส็ตต์ สหรัฐอเมริกา
แนวเพลง ฮาร์ดร็อก, เฮฟวีเมทัล, บลูส์-ร็อก
ปี 1970-ปัจจุบัน
ค่าย Columbia, Geffen
สมาชิก
สตีฟ ไทเลอร์
ชื่อเต็ม : สตีฟ วิคเตอร์ ทอลไลริโค
วันเกิด : 26 มีนาคม 1948
เครื่องดนตรีที่เล่นได้ : ฮาร์โมนิก้า แมนโดนลิน เปียโนและขลุ่ย
โจ เพอร์รี่
ชื่อเต็ม : แอนโธนี โจเซฟ เพอร์รี่
วันเกิด : 10 กันยายน 1950
เครื่องดนตรีที่เล่นได้ : กีตาร์
แบรด วิทฟอร์ด
ชื่อเต็ม : แบรด เออร์เนสต์ วิทฟอร์ด
วันเกิด : 23 กุมภาพันธ์ 1952
เครื่องดนตรีที่เล่นได้ : กีตาร์
ทอม แฮมิลตัน
ชื่อเต็ม : โธมัส วิลเลี่ยม แฮมิลตัน
วันเกิด : 31 ธันวาคม 1951
เครื่องดนตรีที่เล่นได้ : เบสกีตาร์
โจ เครเมอร์
ชื่อเต็ม : โจเซฟ ไมเคิล เครเมอร์
วันเกิด : 21 มิถุนายน 1950
เครื่องดนตรีที่เล่นได้ : กลองและเพอร์คัชชั่น
Aerosmith เป็นวงที่ประสบความสำเร็จสูงสุด วงหนึ่งในยุค 70 พวกเขาเป็นวงฮาร์ดร็อค ที่มีพื้นฐานดนตรี แบบบลูส์ โดยได้แรงบันดาลใจมาจากวงโรลลิ่ง สโตนส์ และเล็ด เซ็พพลิน สตีเว่น ไทเลอร์ นักร้องนำและ โจ เพอร์รี่ มือกีต้าร์ ร่วมกันก่อตั้งวงขึ้นในปีค.ศ. 1970 ในช่วงสิ้นปีนั้น ทอม แฮมิลตัน มือเบส, แบรด วิทฟอร์ดมือริธึ่มกีต้าร์ และโจอี้ เครเมอร์ มือกลอง ก็เข้ามาสมทบ โดยโจอี้ เครเมอร์ เป็นผู้ตั้งชื่อ Aerosmith เป็นชื่อวงดนตรี
วงดนตรีจากบอสตันวงนี้ เซ็นสัญญากับบริษัทแผ่นเสียง โคลัมเบีย เร็คคอร์ดส ในปี 1972 และ1 ปีให้หลังก็ออกผลงานชิ้นแรกในนามAerosmith อัลบั้มดังกล่าว มีเพลงเด่นเป็นเพลงช้าที่ทรงพลังอย่าง Dream On ซึ่งขึ้นถึงอันดับที่ 59 ในอันดับเพลงป๊อป ของนิตยสารบิลบอร์ด อัลบั้มชุดต่อมาคือ Get Your Wings ออกขายในปี 1974 และติดอันดับ อัลบั้มของบิลบอร์ด อยู่นานถึง 86 สัปดาห์ อัลบั้ม Toys In The Attic ในปีค.ศ. 1975 เป็นอัลบั้มสร้างชื่อของAerosmith ด้วยความแรงของ สองซิงเกิ้ลเอกของอัลบั้มคือ Walk This Way กับ Sweet Emotion ทั้งสองเพลงขึ้นถึงอันดับ 10 และ 36 ตามลำดับ และตัวอัลบั้มเองก็ขึ้นถึงอันดับ 11 และตามมาด้วยอัลบั้มชุด Rocks ที่ออกขายในเดือนพฤษภาคม ปี 1976 เป็นอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จสูงสุด เพราะขึ้นถึงอันดับ 3
ช่วงปลายยุคทศวรรษที่ 70 และ 80 สมาชิกวง Aerosmith เริ่มมีปัญหาเรื่องยาเสพติด (สตีฟ ไทเลอร์) หลังการลาออกของโจ เพอร์รี่ และแบรด วิทฟอร์ด สถานภาพของวงก็เริ่มง่อนแง่น แต่เมื่อสมาชิกดั้งเดิมของวง กลับมารวมตัวกันใหม่ในปี 1985 เพื่อทำอัลบั้ม Done With Mirrors อัลบั้มดังกล่าวก็ขึ้นถึงอันดับที่ 36 ทำให้การหวนคืนสู่อันดับเพลงของ Aerosmith กลายเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการเพลงร็อค ถึงเวลานี้ น้อยคนที่จะสงสัยว่า Aerosmith จะยังคงสามารถออกอัลบั้ม ที่ประสพความสำเร็จได้เทียมเท่า หรือมากกว่าผลงานในยุคทศวรรษที่ 70 หรือไม่ ความสำเร็จครั้งใหม่เริ่มต้นเมื่อสตีเว่น ไทเลอร์ และ โจ เพอร์รี่ ที่เพิ่งออกจากสถานบำบัดผู้ติดยา นำเพลงเก่า คือ Walk This Way มาทำใหม่ (Run DMC) และไต่ขึ้นถึงอันดับที่ 4 หลังจากการทำสัญญากับ เกฟเฟ่น เร็คคอร์ดส
Aerosmith เริ่มออกผลงานชุดแรกในสังกัดนี้ ในปี 1987 คือ Permanent Vacation ซึ่งมีเพลงฮิตอย่าง Angel (ขึ้นถึงอันดับ 3) และ Dude (Looks Like A Lady) (อันดับ 12) ปี 1989 Aerosmith ออกอัลบั้ม Pump มีเพลงฮิต What it take (ขึ้นอันดัล 9 ใน Billboard Hot 100 และขึ้นอันดับ 1 Mainstream Rock Tracks) ใน ปี 1993 Aerosmith กลับมา พร้อมกับความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ด้วยอัลบั้ม Get A Grip ซึ่งอยู่ในอันดับอัลบั้มของบิลบอร์ดนานถึง 92 สัปดาห์ และทำให้พวกเขามีเพลงที่ขึ้นถึงอันดับ 1 ได้เป็นครั้งแรก
ในช่วงฤดูร้อนปี 1998 วงที่ดูเหมือนจะไม่มีวันแก่วงนี้ก็ขึ้นถึงอันดับ 1 ในอันดับเพลงของ บิลบอร์ดอีกครั้ง ด้วยเพลง I Don't Want To Miss A Thing ซึ่งเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Armageddon จนถึงปี 2001 พวกเขาก็ได้ออกอัลบั้ม jaded กับ sony music
Tuesday, March 08, 2011
World Military Strength Ranking
การจัดอันดับพลังอำนาจทางทหารของโลก
อันดับที่ 1-10
1.USA
2.China
3.Russia
4.India
5.U.K.
6.France
7.Germany
8.Brazil
9.Japan
10.Turkey
อันดับที่ 11-20
11.Israel
12.South Korea
13.Italy
14.Indonesia
15.Pakistan
16.Taiwan
17.Egypt
18.Iran
19.Mexico
20.North Korea
อันดับที่ 21-30
21.Sweden
22.Greece
23.Canada
24.Saudi Arabia
25.Ukraine
26.Australia
27.Spain
28.Thailand
29.Denmark
30.Poland
อันดับที่ 31-40
31.Philippines
32.South Africa
33.Argentina
34.Syria
35.Norway
36.Georgia
37.Iraq
38.Venezuela
39.Libya
40.Afghanistan
ที่มา: GlobalFirepower.com: World Military Strength Ranking
อันดับที่ 1-10
1.USA
2.China
3.Russia
4.India
5.U.K.
6.France
7.Germany
8.Brazil
9.Japan
10.Turkey
อันดับที่ 11-20
11.Israel
12.South Korea
13.Italy
14.Indonesia
15.Pakistan
16.Taiwan
17.Egypt
18.Iran
19.Mexico
20.North Korea
อันดับที่ 21-30
21.Sweden
22.Greece
23.Canada
24.Saudi Arabia
25.Ukraine
26.Australia
27.Spain
28.Thailand
29.Denmark
30.Poland
อันดับที่ 31-40
31.Philippines
32.South Africa
33.Argentina
34.Syria
35.Norway
36.Georgia
37.Iraq
38.Venezuela
39.Libya
40.Afghanistan
ที่มา: GlobalFirepower.com: World Military Strength Ranking
Saturday, March 05, 2011
คุณเหมาะกับการใช้ชีวิตอย่างคนโสดหรือไม่
หากคุณไม่แน่ใจว่าไลฟ์สไตล์แบบโสดๆ จะเหมาะกับตัวเองหรือไม่ ขอเชิญวัด “ดีกรีความเป็นคนโสด” ของตัวเอง ด้วยการตอบคำถามเหล่านี้
1. คุณเป็นคนรักอิสระอย่างแรง
2. คุณหวงแหนความเป็นส่วนตัว และชอบอยู่เงียบๆ คนเดียว
3. คุณมีความอดทนต่ำกับปัญหาของคนอื่น
4. คุณมักจะหลีกเลี่ยงที่จะเข้าไปรู้เห็น หรือแบกรับภาระของคนอื่น
5. คุณมีอารมณ์ศิลปิน ชอบทำอะไรตามใจฉัน คาดเดายาก และชอบทำตัวเป็นบุคคลลึกลับ
6. คุณขี้เบื่อ และทนอยู่กับอะไรที่ซ้ำซากได้ไม่ดีนัก
7. คุณรักสงบ และเกลียดการมีปากเสียงเป็นที่สุด
8. คุณรู้สึกอึดอัดทุกครั้งที่ต้องพบปะญาติพี่น้อง
9. ความฝันของคุณคือการท่องไป เพื่อผจญภัยในโลกกว้าง มากกว่าการอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน
10. เมื่ออะไรๆ ไม่เป็นไปอย่างที่คุณต้องการ คุณมักเลือกที่จะ “หัก” มากกว่าเลือกที่จะ “งอ”
ถ้าคุณตอบว่า “ใช่” มากกว่า 7 ข้อขึ้นไปแล้วล่ะก็ “ยินดีต้อนรับสู่สมาคมคนโสด” เพราะที่นั่น คุณน่าจะมีชีวิตที่เปี่ยมสุข เป็นตัวของตัวเอง และรู้สึกเป็นอิสระมากกว่ากันเยอะ
1. คุณเป็นคนรักอิสระอย่างแรง
2. คุณหวงแหนความเป็นส่วนตัว และชอบอยู่เงียบๆ คนเดียว
3. คุณมีความอดทนต่ำกับปัญหาของคนอื่น
4. คุณมักจะหลีกเลี่ยงที่จะเข้าไปรู้เห็น หรือแบกรับภาระของคนอื่น
5. คุณมีอารมณ์ศิลปิน ชอบทำอะไรตามใจฉัน คาดเดายาก และชอบทำตัวเป็นบุคคลลึกลับ
6. คุณขี้เบื่อ และทนอยู่กับอะไรที่ซ้ำซากได้ไม่ดีนัก
7. คุณรักสงบ และเกลียดการมีปากเสียงเป็นที่สุด
8. คุณรู้สึกอึดอัดทุกครั้งที่ต้องพบปะญาติพี่น้อง
9. ความฝันของคุณคือการท่องไป เพื่อผจญภัยในโลกกว้าง มากกว่าการอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน
10. เมื่ออะไรๆ ไม่เป็นไปอย่างที่คุณต้องการ คุณมักเลือกที่จะ “หัก” มากกว่าเลือกที่จะ “งอ”
ถ้าคุณตอบว่า “ใช่” มากกว่า 7 ข้อขึ้นไปแล้วล่ะก็ “ยินดีต้อนรับสู่สมาคมคนโสด” เพราะที่นั่น คุณน่าจะมีชีวิตที่เปี่ยมสุข เป็นตัวของตัวเอง และรู้สึกเป็นอิสระมากกว่ากันเยอะ
Wednesday, March 02, 2011
Command Post Exercise (CPX)
A Command Post Exercise (CPX) is a medium-cost, medium-overhead training exercise that may be conducted in garrison or in the field. It is the most common exercise used for training the battalion staff, subordinate, and supporting leaders in order to successfully plan, coordinate, synchronize, and exercise C2 over operations during mission execution. In garrison, a CPX is an expanded MAPEX, using tactical communications, both digital and analog, systems and personnel in a CP environment. Normal battlefield distances between the CPs are usually reduced, and CPs do not need to exercise all tactical communications.
The most effective CPXs are conducted in the field. In field operations time-distance should realistically reflect Army doctrine and Mission, Enemy, Troops, Terrain, and Time Available (METT-T). Operations should be continuous and support the use of all organic and supporting communications equipment. Commanders can practice combined arms integration and tactical emplacement and displacement of CPs. Each headquarters should practice survivability operations such as dispersion, camouflage, and security.
In preparation, units often conduct a TOCEX prior to conducting a CPX. This allows the principal and special staffs to organize for war (such as CPs and staff cells) and train MTP tasks. Additionally, it provides the command group and staff the opportunity to practice setting up the CPs
Ref: Global Security.org: Command Post Exercise (CPX)
The most effective CPXs are conducted in the field. In field operations time-distance should realistically reflect Army doctrine and Mission, Enemy, Troops, Terrain, and Time Available (METT-T). Operations should be continuous and support the use of all organic and supporting communications equipment. Commanders can practice combined arms integration and tactical emplacement and displacement of CPs. Each headquarters should practice survivability operations such as dispersion, camouflage, and security.
In preparation, units often conduct a TOCEX prior to conducting a CPX. This allows the principal and special staffs to organize for war (such as CPs and staff cells) and train MTP tasks. Additionally, it provides the command group and staff the opportunity to practice setting up the CPs
Ref: Global Security.org: Command Post Exercise (CPX)
Monday, February 14, 2011
วันวาเลนไทน์ (Valentine's Day)
วันนักบุญวาเลนไทน์ (Saint Valentine's Day) หรือที่เป็นที่รู้จักว่า วันวาเลนไทน์ (Valentine's Day) ตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปี เป็นวันประเพณีที่คู่รักบอกให้กันและกันทราบเกี่ยวกับความรักของพวกเขา โดยการส่งการ์ดวาเลนไทน์ ซึ่งโดยมากจะไม่ระบุชื่อ
วันวาเลนไทน์นั้นมีมาตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโรมัน ในกรุงโรมสมัยก่อนนั้น วันที่ 14 กุมภาพันธ์ จะเป็นวันเฉลิมฉลองของจูโน่ซึ่งเป็นราชินีแห่งเหล่าเทพและเทพธิดาของโรมัน ชาวโรมันรู้จักเธอในนามของเทพธิดาแห่ง อิสตรีและการแต่งงาน และในวันถัดมาคือวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ก็จะเป็นวันเริ่มต้นงานเลี้ยงของ Lupercalia การดำเนินชีวิตของเด็กหนุ่มและเด็กสาวในสมัยนั้นจะถูกแยกจากกันอย่างเด็ดขาด แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีประเพณี อย่างนึง ซึ่งเด็กหนุ่มสาวยังสืบทอดต่อกันมา คือ คืนก่อนวันเฉลิมฉลอง Lupercalia นั้นชื่อของเด็กสาวทุกคนจะถูกเขียนลงในเศษกระดาษเล็ก ๆ และจะใส่เอาไว้ในเหยือก เด็กหนุ่มแต่ละคนจะดึงชื่อของเด็กสาวออกจากเหยือก แล้วหลังจากนั้นก็จะจับคู่กันในงานเฉลิมฉลอง บางครั้งการจับคู่นี้ ท้ายที่สุดก็จะจบลงด้วยการที่เด็กหนุ่มและเด็กสาวทั้งสองนั้นได้ตกหลุมรักกันและแต่งงานกันในที่สุด
ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง (Claudius II) นั้น กรุงโรมได้เกิดสงครามหลาย ครั้ง และคลอดิอุสเองก็ประสบกับปัญหาในการที่จะหาทหารจำนวนมากมายมหาศาลมาเข้าร่วมในศึกสงคราม และเขาเชื่อว่าเหตุผลสำคัญก็คือ ผู้ชายโรมันหลายคนไม่ต้องการจากครอบครัวและคนอันเป็นที่รักไป และด้วยเหตุผลนี้เอง ทำให้จักรพรรดิคลอดิอุสประกาศให้ยกเลิกงานแต่งงานและงานหมั้นทั้งหมดในกรุงโรม ถึงกระนั้นก็ตาม ยังมีนักบุญผู้ใจดีคนหนึ่งซึ่งชื่อว่า ท่านนักบุญวาเลนไทน์ ท่านเป็นพระที่กรุงโรมในสมัยของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง ท่านนักบุญวาเลนไทน์และนักบุญมาริอุส ได้จัดตั้งกลุ่มองค์กรเล็ก ๆ เพื่อช่วยเหลือชาวคริสเตียนที่ตกทุกข์ได้ยากเหล่านี้ และได้จัดให้มีการแต่งงานของคู่รักอย่างลับ ๆ ด้วย
และจากการกระทำเหล่านี้เอง ทำให้นักบุญวาเลนไทน์ถูกจับและถูกตัดสินประหารโดยการตัดศีรษะ ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ประมาณปีคริสต์ศักราชที่ 270 ซึ่งถือเป็นวันที่ท่านได้ทนทุกข์ทรมานและเสียสละเพื่อเพื่อนมนุษย์
ลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างหนุ่มสาวที่จะช่วยให้ก้าวหน้าในความรักที่แท้จริงนั้น ก็ควรจะประกอบด้วย 3 ข้อด้วยกัน ดังนี้
1. ให้รู้จักกันทั้งในด้านดี ในด้านเสีย และข้อผิดพลาดซึ่งต่างก็มีอยู่ และยอมรับซึ่งกันและกันในข้อเหล่านั้น
2. ให้เคารพและเห็นใจกัน โดยเสียสละต่อกันเพื่อให้คนรักของตนได้รับความดี และความสุขใจในทางที่บริสุทธิ์งดงาม
3. ให้มีการปรับปรุง และเปลี่ยนนิสัยของตนในส่วนที่บกพร่อง เพื่อจะอยู่กันด้วยความสุขในอนาคต
ลักษณะทั้งสามดังกล่าวนี้ คงจะเป็นประโยชน์สำหรับหนุ่มสาวไทยไม่เฉพาะ ในวันวาเลนไทน์หรือสำหรับกลุ่มที่นิยมประเพณีต่างประเทศเท่านั้น แต่สำหรับทุกคู่ที่แสวงหาวิธีการเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกันอัน จะนำไปสู่ความรักที่มั่นคงและยั่งยืนชั่วชีวิต
วันวาเลนไทน์นั้นมีมาตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโรมัน ในกรุงโรมสมัยก่อนนั้น วันที่ 14 กุมภาพันธ์ จะเป็นวันเฉลิมฉลองของจูโน่ซึ่งเป็นราชินีแห่งเหล่าเทพและเทพธิดาของโรมัน ชาวโรมันรู้จักเธอในนามของเทพธิดาแห่ง อิสตรีและการแต่งงาน และในวันถัดมาคือวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ก็จะเป็นวันเริ่มต้นงานเลี้ยงของ Lupercalia การดำเนินชีวิตของเด็กหนุ่มและเด็กสาวในสมัยนั้นจะถูกแยกจากกันอย่างเด็ดขาด แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีประเพณี อย่างนึง ซึ่งเด็กหนุ่มสาวยังสืบทอดต่อกันมา คือ คืนก่อนวันเฉลิมฉลอง Lupercalia นั้นชื่อของเด็กสาวทุกคนจะถูกเขียนลงในเศษกระดาษเล็ก ๆ และจะใส่เอาไว้ในเหยือก เด็กหนุ่มแต่ละคนจะดึงชื่อของเด็กสาวออกจากเหยือก แล้วหลังจากนั้นก็จะจับคู่กันในงานเฉลิมฉลอง บางครั้งการจับคู่นี้ ท้ายที่สุดก็จะจบลงด้วยการที่เด็กหนุ่มและเด็กสาวทั้งสองนั้นได้ตกหลุมรักกันและแต่งงานกันในที่สุด
ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง (Claudius II) นั้น กรุงโรมได้เกิดสงครามหลาย ครั้ง และคลอดิอุสเองก็ประสบกับปัญหาในการที่จะหาทหารจำนวนมากมายมหาศาลมาเข้าร่วมในศึกสงคราม และเขาเชื่อว่าเหตุผลสำคัญก็คือ ผู้ชายโรมันหลายคนไม่ต้องการจากครอบครัวและคนอันเป็นที่รักไป และด้วยเหตุผลนี้เอง ทำให้จักรพรรดิคลอดิอุสประกาศให้ยกเลิกงานแต่งงานและงานหมั้นทั้งหมดในกรุงโรม ถึงกระนั้นก็ตาม ยังมีนักบุญผู้ใจดีคนหนึ่งซึ่งชื่อว่า ท่านนักบุญวาเลนไทน์ ท่านเป็นพระที่กรุงโรมในสมัยของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง ท่านนักบุญวาเลนไทน์และนักบุญมาริอุส ได้จัดตั้งกลุ่มองค์กรเล็ก ๆ เพื่อช่วยเหลือชาวคริสเตียนที่ตกทุกข์ได้ยากเหล่านี้ และได้จัดให้มีการแต่งงานของคู่รักอย่างลับ ๆ ด้วย
และจากการกระทำเหล่านี้เอง ทำให้นักบุญวาเลนไทน์ถูกจับและถูกตัดสินประหารโดยการตัดศีรษะ ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ประมาณปีคริสต์ศักราชที่ 270 ซึ่งถือเป็นวันที่ท่านได้ทนทุกข์ทรมานและเสียสละเพื่อเพื่อนมนุษย์
ลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างหนุ่มสาวที่จะช่วยให้ก้าวหน้าในความรักที่แท้จริงนั้น ก็ควรจะประกอบด้วย 3 ข้อด้วยกัน ดังนี้
1. ให้รู้จักกันทั้งในด้านดี ในด้านเสีย และข้อผิดพลาดซึ่งต่างก็มีอยู่ และยอมรับซึ่งกันและกันในข้อเหล่านั้น
2. ให้เคารพและเห็นใจกัน โดยเสียสละต่อกันเพื่อให้คนรักของตนได้รับความดี และความสุขใจในทางที่บริสุทธิ์งดงาม
3. ให้มีการปรับปรุง และเปลี่ยนนิสัยของตนในส่วนที่บกพร่อง เพื่อจะอยู่กันด้วยความสุขในอนาคต
ลักษณะทั้งสามดังกล่าวนี้ คงจะเป็นประโยชน์สำหรับหนุ่มสาวไทยไม่เฉพาะ ในวันวาเลนไทน์หรือสำหรับกลุ่มที่นิยมประเพณีต่างประเทศเท่านั้น แต่สำหรับทุกคู่ที่แสวงหาวิธีการเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกันอัน จะนำไปสู่ความรักที่มั่นคงและยั่งยืนชั่วชีวิต
Tuesday, January 18, 2011
ไต้หวันทดสอบยิงมิสไซล์
สำนักงานข่าวต่างประเทศรายงานข่าวเมื่อวันอังคารที่ 18 ม.ค. 2011 ว่า ประเทศไต้หวันทำการทดสอบยิงมิสไซล์ ผิวน้ำสู่อากาศและอากาศสู่(เป้าหมายใน)อากาศ การทดสอบครั้งนี้รับผิดชอบและควบคุมโดยนาย Ma Ying-jeou ประธานาธิบดีของประเทศไต้หวัน
การทดสอบยิงมิสไซล์ครั้งนี้มีขึ้นหลังจากการทดสอบการบินครั้งแรกของเครื่องบินขับไล่ stealth J-20 ของจีน ประสบผลสำเร็จเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเครื่องบินขับไล่ stealth J-20 ของจีนคาดว่าจะเป็นระบบอาวุธชนิดใหม่มีเป็นภัยคุกคามระดับยุทธศาสตร์ต่อประเทศไต้หวัน
มิสไซล์ ผิวน้ำสู่อากาศ ฮอร์ค (Hawk)
นาย Ma Ying-jeou ประธานาธิบดีของประเทศไต้หวัน
ที่มา Taiwan's unusually public missile test fizzles Washington Post January 18, 2011
การทดสอบยิงมิสไซล์ครั้งนี้มีขึ้นหลังจากการทดสอบการบินครั้งแรกของเครื่องบินขับไล่ stealth J-20 ของจีน ประสบผลสำเร็จเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเครื่องบินขับไล่ stealth J-20 ของจีนคาดว่าจะเป็นระบบอาวุธชนิดใหม่มีเป็นภัยคุกคามระดับยุทธศาสตร์ต่อประเทศไต้หวัน
ที่มา Taiwan's unusually public missile test fizzles Washington Post January 18, 2011
Saturday, January 15, 2011
รถไฟความเร็วสูง : เทรนด์การพัฒนาแบบก้าวกระโดดของโลก
รัฐบาลจีนมีแผนพัฒนาระบบเศรษฐกิจด้วยการสร้างการขนส่งระบบรางให้ทั่วถึงทั้งโลก เพื่อลดต้นทุนในด้านการขนส่ง และโลจิสติกส์ ซึ่งในยุโรปได้พัฒนาเรียบร้อยแล้ว ส่วนสหรัฐอเมริกากำลังเจรจากับญี่ปุ่นอยู่
ล่าสุดรัฐบาลจีนจะลงทุนในประเทศลาว ด้วยรถไฟความเร็วสูง 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จากชายแดนจีน-ลาว จนถึงนครหลวงเวียงจันทน์
ข้อดีของการขนส่งระบบรางด้วยรถไฟความเร็วสูง
1. เหมาะสำหรับนำมาใช้งานในกรณีนี้เพราะเป็นระบบขนส่งซึ่งสามารถขนส่งได้ครั้งละเป็นจำนวนมาก (High Capacity) ประหยัดพลังงาน ก่อมลภาวะน้อยกว่าระบบการขนส่งแบบอื่นและมีความรวดเร็วที่เหมาะสม
2.(ยกตัวอย่างเกาะไต้หวัน) ทำให้เกาะไต้หวันแปรสภาพจากชุมชนที่มีเมืองใหญ่หลายเมืองเป็นศูนย์กลางไปเป็นชุมชนเมืองแบบเมืองเดียวที่มีไทเปเป็นศูนย์กลางและมีเมืองขนาดใหญ่ที่เรียงรายกันลงมาจากเหนือจรดใต้ เป็นศูนย์กลางเมืองย่อย (Poly-Centric City) ซึ่งประชาชนสามารถเดินทางไปและกลับจากไทเปได้ในวันเดียว รถไฟความเร็วสูงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของประชาชนไปในทางที่รักษาวัฒนธรรมดั้งเดิมและทำให้มีความสุขมากขึ้น
3.กระจายความเจริญออกสู่ภูมิภาค ทำให้เกิดชุมชนขนาดใหญ่ที่อยู่ห่างไกลจากศูนย์กลางเมืองหลวงเดิมมากขึ้น ชุมชนขนาดใหญ่เหล่านี้จะพัฒนาความต้องการเดินทางในรูปแบบที่ใช้เวลาสั้น ๆ ระหว่างกันขึ้น
ล่าสุดรัฐบาลจีนจะลงทุนในประเทศลาว ด้วยรถไฟความเร็วสูง 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จากชายแดนจีน-ลาว จนถึงนครหลวงเวียงจันทน์
ข้อดีของการขนส่งระบบรางด้วยรถไฟความเร็วสูง
1. เหมาะสำหรับนำมาใช้งานในกรณีนี้เพราะเป็นระบบขนส่งซึ่งสามารถขนส่งได้ครั้งละเป็นจำนวนมาก (High Capacity) ประหยัดพลังงาน ก่อมลภาวะน้อยกว่าระบบการขนส่งแบบอื่นและมีความรวดเร็วที่เหมาะสม
2.(ยกตัวอย่างเกาะไต้หวัน) ทำให้เกาะไต้หวันแปรสภาพจากชุมชนที่มีเมืองใหญ่หลายเมืองเป็นศูนย์กลางไปเป็นชุมชนเมืองแบบเมืองเดียวที่มีไทเปเป็นศูนย์กลางและมีเมืองขนาดใหญ่ที่เรียงรายกันลงมาจากเหนือจรดใต้ เป็นศูนย์กลางเมืองย่อย (Poly-Centric City) ซึ่งประชาชนสามารถเดินทางไปและกลับจากไทเปได้ในวันเดียว รถไฟความเร็วสูงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของประชาชนไปในทางที่รักษาวัฒนธรรมดั้งเดิมและทำให้มีความสุขมากขึ้น
3.กระจายความเจริญออกสู่ภูมิภาค ทำให้เกิดชุมชนขนาดใหญ่ที่อยู่ห่างไกลจากศูนย์กลางเมืองหลวงเดิมมากขึ้น ชุมชนขนาดใหญ่เหล่านี้จะพัฒนาความต้องการเดินทางในรูปแบบที่ใช้เวลาสั้น ๆ ระหว่างกันขึ้น
Saturday, January 08, 2011
คำขวัญวันเด็กแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔
คำขวัญวันเด็กแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔ "รอบคอบ รู้คิด มีจิตสาธารณะ" นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
วันเด็กแห่งชาติ เป็นวันสำคัญในประเทศไทยตรงกับวันเสาร์ที่ 2 ของเดือนมกราคมของทุกปี เป็นวันหยุดราชการที่มิได้ชดเชยในวันทำงานถัดไป (วันจันทร์) มีการให้ คำขวัญวันเด็ก ทุกปีโดยนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งในขณะนั้น
ประวัติ
งานวันเด็กแห่งชาติจัดขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคม พ.ศ. 2498 ตามคำเชิญชวนของ นายวี.เอ็ม. กุลกานี ผู้แทนองค์การสหพันธ์เพื่อสวัสดิภาพเด็กระหว่างประเทศแห่งสหประชาชาติ เพื่อให้ประชาชนเห็นความสำคัญและความต้องการของเด็ก และเพื่อกระตุ้นให้เด็กตระหนักถึงบทบาทอันสำคัญของตนในประเทศ โดยปลูกฝังให้เด็กมีส่วนร่วมในสังคม เตรียมพร้อมให้ตนเองเป็นกำลังของชาติ
รัฐบาลได้จัดให้มีคณะกรรมการจัดงานวันเด็กแห่งชาติขึ้นมาคณะหนึ่ง ทำหน้าที่ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐบาล รัฐวิสาหกิจ และเอกชน กำหนดให้มีการฉลองวันเด็กแห่งชาติทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค จุดประสงค์เพื่อให้เด็กทั่วประเทศทั้งในระบบโรงเรียนและนอกระบบโรงเรียน ได้รู้ถึงความสำคัญของตน เกี่ยวกับสิทธิ หน้าที่ ความรับผิดชอบ ระเบียบวินัย ที่มีต่อตนเองและสังคม มีความยึดมั่นในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
งานวันเด็กแห่งชาติจัดขึ้นทุกปีในวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมจนถึง พ.ศ. 2506 และใน พ.ศ. 2507 ไม่สามารถจัดงานวันเด็กได้ทัน จึงได้เริ่มจัดอีกครั้งในปี พ.ศ. 2508 โดยเปลี่ยนเป็นวันเสาร์ที่ 2 ของเดือนมกราคม เนื่องจากเห็นว่าเป็นช่วงหมดฤดูฝนและเป็นวันหยุดราชการ จนถึงทุกวันนี้
วันเด็กแห่งชาติ เป็นวันสำคัญในประเทศไทยตรงกับวันเสาร์ที่ 2 ของเดือนมกราคมของทุกปี เป็นวันหยุดราชการที่มิได้ชดเชยในวันทำงานถัดไป (วันจันทร์) มีการให้ คำขวัญวันเด็ก ทุกปีโดยนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งในขณะนั้น
ประวัติ
งานวันเด็กแห่งชาติจัดขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคม พ.ศ. 2498 ตามคำเชิญชวนของ นายวี.เอ็ม. กุลกานี ผู้แทนองค์การสหพันธ์เพื่อสวัสดิภาพเด็กระหว่างประเทศแห่งสหประชาชาติ เพื่อให้ประชาชนเห็นความสำคัญและความต้องการของเด็ก และเพื่อกระตุ้นให้เด็กตระหนักถึงบทบาทอันสำคัญของตนในประเทศ โดยปลูกฝังให้เด็กมีส่วนร่วมในสังคม เตรียมพร้อมให้ตนเองเป็นกำลังของชาติ
รัฐบาลได้จัดให้มีคณะกรรมการจัดงานวันเด็กแห่งชาติขึ้นมาคณะหนึ่ง ทำหน้าที่ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐบาล รัฐวิสาหกิจ และเอกชน กำหนดให้มีการฉลองวันเด็กแห่งชาติทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค จุดประสงค์เพื่อให้เด็กทั่วประเทศทั้งในระบบโรงเรียนและนอกระบบโรงเรียน ได้รู้ถึงความสำคัญของตน เกี่ยวกับสิทธิ หน้าที่ ความรับผิดชอบ ระเบียบวินัย ที่มีต่อตนเองและสังคม มีความยึดมั่นในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
งานวันเด็กแห่งชาติจัดขึ้นทุกปีในวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมจนถึง พ.ศ. 2506 และใน พ.ศ. 2507 ไม่สามารถจัดงานวันเด็กได้ทัน จึงได้เริ่มจัดอีกครั้งในปี พ.ศ. 2508 โดยเปลี่ยนเป็นวันเสาร์ที่ 2 ของเดือนมกราคม เนื่องจากเห็นว่าเป็นช่วงหมดฤดูฝนและเป็นวันหยุดราชการ จนถึงทุกวันนี้
J-20 เครื่องบินรบล่องหนรุ่นใหม่ของจีน
สำนักข่าวต่างประเทศได้รายงานถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของจีนอีกครั้ง ในด้านการผลิตเครื่องบินรบล่องหนลำแรกของจีนที่ถูกนำมาทดสอบจริงเป็นครั้งแรก โดยมีผู้ถ่ายการทดสอบเครื่องบินรบล่องหนของจีนไว้ได้และถูกนำมาเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ยูทูป (YouTube) โดยเครื่องบินรบรุ่นนี้เป็นรุ่น J-20 นามเรียกขานว่า Black Eagle หรือ อินทรีย์ดำ
J-20 นี้แต่เดิมอยู่ในชื่อของโครงการว่า J-XX ซึ่งริเริ่มขึ้นตั้งแต่ทศวรรษที่ 1990 โดยเริ่มสร้างเครื่องต้นแบบจำนวน 2 เครื่องในช่วงปี 2001 และ 2002 จนมาแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 2010ที่ผ่านมา และเริ่มการทดสอบการบิน ทดสอบอุปกรณ์การบินต่างๆเมื่อปลายปี 2010 ทั้งนี้มีการคาดการณ์กันว่าจะถูกเข้าประจำการในปี 2017-2019 โดยคาดว่าจะเข้ามามีบทบาทเพื่อเป็นเครื่องบินแบบเอนกประสงค์หลายภารกิจ เช่นเดียวกับ F-35 ของกองทัพอากาศสหรัฐ โดย J-20 จะเป็นเครื่องบินเชิงรุกเช่นเดียวกับ F-22 Rapter,F-35 และ Su T-50 ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องบินรบที่มีเทคโนโลยีล่องหน (Stealth)
เครื่องบินรบรุ่น J-20 นี้จะสามารถบรรทุกอาวุธและเชื้อเพลิงมากกว่า F-22 นั่นจะทำให้พิสัยทำการและจำนวนอาวุธจะมีมากกว่าเครื่อง F-22 ทำให้ภารกิจของเครื่องบิน J-20 มีความหลากหลายตามไปกับความสามารถในการบรรทุกที่มากกว่าและพิสัยการบินที่ไกลกว่า ซึ่งจากรูปภาพที่ถูกเผยแพร่ผ่านอินเตอร์เน็ตทีผ่านมาพบว่าโครงสร้างอากาศยานมีความคล้ายคลึงกับ F-35 ค่อนข้างมากขณะที่มีขนาดลำตัวเครื่องบินมีขนาดใหญ่กว่า F-22 ไม่มากนักซึ่งเครื่องที่ทำการทดสอบคาดว่าใช้เครื่องยนต์แบบ Saturn117s ที่ผลิตในรัสเซียจำนวน 2 เครื่องยนต์ ระบบเรดาห์เป็นแบบ Active Electronically Scanned Array (AESA)
โดยเครื่องบินรบ J-20 นี้ถูกพัฒนาและสร้างโดยบริษัท Chengdu Aircraft Industry Group (CAC) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตอากาศยานชั้นนำของรัฐบาลจีนที่ผลิตเครื่องบินรบออกมาหลายแบบทั้ง JF-17 , J-7 (ทั้งสองรุ่นเป็นเครื่องบินรบส่งออกของจีน)
การที่จีนสามารถผลิตเครื่องบินรบประสิทธิภาพสูงและล่องหนได้จะทำให้จีนมีความมั่นใจในกำลังทางอากาศของตนเพิ่มมากขึ้น ซึ่ง J-20 ที่ผลิตออกมาเป็นเครื่องบินรบที่มีเป้าประสงค์จะเข้ามาต่อกรกับเครื่องบินรบของสหรัฐเช่น F-22 ,F-35 ที่ล้วนเป็นเครื่องบินยุคที่ 5 ทั้งหมด ซึ่งแน่นอนว่าประเทศที่เป็นคู่ขัดแย้งอย่างไต้หวันย่อมมองด้วยความพรั่นพรึงอย่างแน่นอนต่อการครองน่านฟ้าเหนือช่องแคบไต้หวัน โดยการประจำการเครื่องบินรบรุ่นนี้ในอนาคตของจีนส่วนหนึ่งจะต้องอยู่ใกล้กับช่องแคบไต้หวันเพราะเป็นพื้นที่ที่จีนจะต้องครองอากาศเอาไว้ให้ได้เร็วที่สุดถ้าเกิดสงคราม ซึ่งเป็นไปได้ว่าถ้าเกิดการปะทะขึ้นเครื่องบินที่มาปะทะจะเป็นเครื่องบินในยุคเดียวกันอย่าง F-35 หรือ F-22 ขณะที่ไต้หวันเองย่อมจะต้องตอบโต้กลับด้วยการสั่งซื้อเครื่องบินรบประเภทเดียวกันจากสหรัฐเพิ่มมากขึ้น ซึ่งคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเป็น F-35 ที่กำลังพัฒนาอยู่ในเวลานี้
การพัฒนาเครื่องบินรบแบบล่องหนนี้นอกจากสถาปนาขีดความสามารถทางการรบที่มากขึ้นของกองทัพอากาศจีนแล้วยังทำให้ยุทธศาสตร์ของจีนเป็นในเชิงรุกมากขึ้นเพราะเครื่องบินชนิดนี้เป็นเครื่องบินเชิงรุกทางยุทธศาสตร์ การสร้างอำนาจต่อรองทางยุทธศาสตร์ในเอเชียตะวันออกไกลของจีนจะมีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้น นั่นย่อมทำให้ประเทศในเอเชียต้องมองจีนในมุมอีกด้านถึงความแข็งกร้าวทางทหารที่จีนเริ่มสะสมกำลังทางเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ และจะเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือการดำเนินนโยบายการต่างประเทศนอกเหนือจาก Soft Power ที่จีนทำมาตลอด
เปรียบเทียบภาพด้านข้างของเครื่องบินขับไล่ J-10 กับเครื่องบินขับไล่สเตลต์ J-20
เปรียบเทียบภาพด้านข้างของเครื่องบินขับไล่สเตลต์ J-20 จีน, T-50 รัสเซีย, F-22 สหรัฐฯ
J-20 นี้แต่เดิมอยู่ในชื่อของโครงการว่า J-XX ซึ่งริเริ่มขึ้นตั้งแต่ทศวรรษที่ 1990 โดยเริ่มสร้างเครื่องต้นแบบจำนวน 2 เครื่องในช่วงปี 2001 และ 2002 จนมาแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 2010ที่ผ่านมา และเริ่มการทดสอบการบิน ทดสอบอุปกรณ์การบินต่างๆเมื่อปลายปี 2010 ทั้งนี้มีการคาดการณ์กันว่าจะถูกเข้าประจำการในปี 2017-2019 โดยคาดว่าจะเข้ามามีบทบาทเพื่อเป็นเครื่องบินแบบเอนกประสงค์หลายภารกิจ เช่นเดียวกับ F-35 ของกองทัพอากาศสหรัฐ โดย J-20 จะเป็นเครื่องบินเชิงรุกเช่นเดียวกับ F-22 Rapter,F-35 และ Su T-50 ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องบินรบที่มีเทคโนโลยีล่องหน (Stealth)
เครื่องบินรบรุ่น J-20 นี้จะสามารถบรรทุกอาวุธและเชื้อเพลิงมากกว่า F-22 นั่นจะทำให้พิสัยทำการและจำนวนอาวุธจะมีมากกว่าเครื่อง F-22 ทำให้ภารกิจของเครื่องบิน J-20 มีความหลากหลายตามไปกับความสามารถในการบรรทุกที่มากกว่าและพิสัยการบินที่ไกลกว่า ซึ่งจากรูปภาพที่ถูกเผยแพร่ผ่านอินเตอร์เน็ตทีผ่านมาพบว่าโครงสร้างอากาศยานมีความคล้ายคลึงกับ F-35 ค่อนข้างมากขณะที่มีขนาดลำตัวเครื่องบินมีขนาดใหญ่กว่า F-22 ไม่มากนักซึ่งเครื่องที่ทำการทดสอบคาดว่าใช้เครื่องยนต์แบบ Saturn117s ที่ผลิตในรัสเซียจำนวน 2 เครื่องยนต์ ระบบเรดาห์เป็นแบบ Active Electronically Scanned Array (AESA)
โดยเครื่องบินรบ J-20 นี้ถูกพัฒนาและสร้างโดยบริษัท Chengdu Aircraft Industry Group (CAC) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตอากาศยานชั้นนำของรัฐบาลจีนที่ผลิตเครื่องบินรบออกมาหลายแบบทั้ง JF-17 , J-7 (ทั้งสองรุ่นเป็นเครื่องบินรบส่งออกของจีน)
การที่จีนสามารถผลิตเครื่องบินรบประสิทธิภาพสูงและล่องหนได้จะทำให้จีนมีความมั่นใจในกำลังทางอากาศของตนเพิ่มมากขึ้น ซึ่ง J-20 ที่ผลิตออกมาเป็นเครื่องบินรบที่มีเป้าประสงค์จะเข้ามาต่อกรกับเครื่องบินรบของสหรัฐเช่น F-22 ,F-35 ที่ล้วนเป็นเครื่องบินยุคที่ 5 ทั้งหมด ซึ่งแน่นอนว่าประเทศที่เป็นคู่ขัดแย้งอย่างไต้หวันย่อมมองด้วยความพรั่นพรึงอย่างแน่นอนต่อการครองน่านฟ้าเหนือช่องแคบไต้หวัน โดยการประจำการเครื่องบินรบรุ่นนี้ในอนาคตของจีนส่วนหนึ่งจะต้องอยู่ใกล้กับช่องแคบไต้หวันเพราะเป็นพื้นที่ที่จีนจะต้องครองอากาศเอาไว้ให้ได้เร็วที่สุดถ้าเกิดสงคราม ซึ่งเป็นไปได้ว่าถ้าเกิดการปะทะขึ้นเครื่องบินที่มาปะทะจะเป็นเครื่องบินในยุคเดียวกันอย่าง F-35 หรือ F-22 ขณะที่ไต้หวันเองย่อมจะต้องตอบโต้กลับด้วยการสั่งซื้อเครื่องบินรบประเภทเดียวกันจากสหรัฐเพิ่มมากขึ้น ซึ่งคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเป็น F-35 ที่กำลังพัฒนาอยู่ในเวลานี้
การพัฒนาเครื่องบินรบแบบล่องหนนี้นอกจากสถาปนาขีดความสามารถทางการรบที่มากขึ้นของกองทัพอากาศจีนแล้วยังทำให้ยุทธศาสตร์ของจีนเป็นในเชิงรุกมากขึ้นเพราะเครื่องบินชนิดนี้เป็นเครื่องบินเชิงรุกทางยุทธศาสตร์ การสร้างอำนาจต่อรองทางยุทธศาสตร์ในเอเชียตะวันออกไกลของจีนจะมีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้น นั่นย่อมทำให้ประเทศในเอเชียต้องมองจีนในมุมอีกด้านถึงความแข็งกร้าวทางทหารที่จีนเริ่มสะสมกำลังทางเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ และจะเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือการดำเนินนโยบายการต่างประเทศนอกเหนือจาก Soft Power ที่จีนทำมาตลอด
จีนเตรียมผุดศูนย์การค้าขนาดยักษ์ในไทย
ศูนย์การค้าดังกล่าวมีมูลค่าถึง 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้พ่อค้าสามารถส่งออกสินค้าที่ผลิตจากจีนไปรอบโลกได้โดยไม่ถูกเรียกเก็บภาษีสินค้าส่งออกในอัตราที่สูงมากเฉกเช่นชาติตะวันตก ทั้งนี้ พ่อค้าชาวจีนกว่า 70,000 รายต่างคาดหวังที่จะเข้ามาดำเนินธุรกิจใน “มหานครแห่งการค้าจีน” (China City Complex) ดังกล่าว ซึ่งมีอาณาบริเวณราว 500,000 ตารางเมตร และมีที่ตั้งบริเวณชานเมืองกรุงเทพฝั่งตะวันออก นายหยาง ประธานสมาคมส่งเสริมการค้าและเศรษฐกิจอาเซียน-จีน กล่าวว่า จีนได้ลงนามความตกลงเขตการค้าเสรีกับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อเดือนมกราคม 2010 อันนำไปสู่การลดหรือยกเลิกภาษีสินค้า
(การจัดทำ FTA ระหว่างจีนกับอาเซียนดังกล่าวนั้นส่งผลให้ภาษีสินค้าปกติลดลงเหลือเพียงร้อยละ 0 นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2010 ซึ่งครอบคลุมสินค้ากว่าร้อยละ 90 ส่วนอีกร้อยละ 10 นั้นยังคงเป็นสินค้าอ่อนไหวที่จีนต้องการปกป้องผู้ผลิตภายในประเทศ)
แผนการดังกล่าวจะช่วยลดปัญหาสหรัฐฯ ที่ขาดดุลการค้าจีนถึง 1.68 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ขณะที่สหภาพยุโรปขาดดุลการค้าจีนอยู่ที่ 1.36 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ อันเนื่องมาจากการซื้อสินค้าส่งออกจากจีนเป็นจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้ การค้าเกินดุลของจีนจึงกลายเป็นประเด็นอ่อนไหวสำหรับสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปที่พยายามจะหาทางรักษาส่วนแบ่งการตลาด
แม้ว่าจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลกแต่จีนก็ยังคงรักษาสถานะทางการค้าได้อย่างแข็งแกร่ง การส่งออกในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมามียอดพุ่งสูงขึ้นถึงร้อยละ 34.9 จากปีก่อนหน้า และมีมูลค่าถึง 1.53 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถือว่าจีนมีระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วกว่าทั้งสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป การรายงานจาก China Daily ระบุว่า ศูนย์การค้าดังกล่าวจะขายสิ่งทอ เครื่องประดับ เครื่องใช้ในครัวเรือนที่ผลิตจากจีน ศูนย์การค้าจะเริ่มก่อสร้างในเดือนมีนาคมและคาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 18 เดือน
(การจัดทำ FTA ระหว่างจีนกับอาเซียนดังกล่าวนั้นส่งผลให้ภาษีสินค้าปกติลดลงเหลือเพียงร้อยละ 0 นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2010 ซึ่งครอบคลุมสินค้ากว่าร้อยละ 90 ส่วนอีกร้อยละ 10 นั้นยังคงเป็นสินค้าอ่อนไหวที่จีนต้องการปกป้องผู้ผลิตภายในประเทศ)
แผนการดังกล่าวจะช่วยลดปัญหาสหรัฐฯ ที่ขาดดุลการค้าจีนถึง 1.68 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ขณะที่สหภาพยุโรปขาดดุลการค้าจีนอยู่ที่ 1.36 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ อันเนื่องมาจากการซื้อสินค้าส่งออกจากจีนเป็นจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้ การค้าเกินดุลของจีนจึงกลายเป็นประเด็นอ่อนไหวสำหรับสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปที่พยายามจะหาทางรักษาส่วนแบ่งการตลาด
แม้ว่าจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลกแต่จีนก็ยังคงรักษาสถานะทางการค้าได้อย่างแข็งแกร่ง การส่งออกในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมามียอดพุ่งสูงขึ้นถึงร้อยละ 34.9 จากปีก่อนหน้า และมีมูลค่าถึง 1.53 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถือว่าจีนมีระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วกว่าทั้งสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป การรายงานจาก China Daily ระบุว่า ศูนย์การค้าดังกล่าวจะขายสิ่งทอ เครื่องประดับ เครื่องใช้ในครัวเรือนที่ผลิตจากจีน ศูนย์การค้าจะเริ่มก่อสร้างในเดือนมีนาคมและคาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 18 เดือน
Subscribe to:
Posts (Atom)