Copyright © 2011 by Digital World.
Sunday, July 31, 2011
Sunday, July 24, 2011
Thursday, July 14, 2011
Tuesday, July 12, 2011
DANCOON Golf Club
Dancoon กอล์ฟคลับเป็นสนามกอล์ฟในจังหวัดขอนแก่นที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบสนองความต้องการของคุณ สนามแห่งนี้สร้างและดำเนินการโดยบุคลากรมืออาชีพ จำนวน 18 หลุม นับเป็นหนึ่งในสนามกอล์ฟที่ดึงดูดนักกอล์ฟจำนวนมากทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ
ผมไปเล่นมาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อวันเสาร์ที่ 9 ก.ค. 54 บังเอิญเจอคุณภราดร ศรีชาพันธุ์ เลยขอถ่ายรูปครับ โดยรวมแล้วเป็นสนามกอล์ฟคลับที่ดีมากสนามหนึ่ง จะไปออกรอบอีกแน่นอนครับ
ผมไปเล่นมาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อวันเสาร์ที่ 9 ก.ค. 54 บังเอิญเจอคุณภราดร ศรีชาพันธุ์ เลยขอถ่ายรูปครับ โดยรวมแล้วเป็นสนามกอล์ฟคลับที่ดีมากสนามหนึ่ง จะไปออกรอบอีกแน่นอนครับ
Tuesday, June 07, 2011
Springfield Royal Country Club
สนามกอล์ฟสปริงฟิลด์ (Springfield Royal Country Club)
หนึ่งในสนามกอล์ฟที่สวยงามและท้าทายของชะอำ จังหวัดเพชรบุรี เมืองแห่งวัฒนธรรม เลิศล้ำศิลปะ แดนธรรมะ ทะเลงาม
สนามกอล์ฟขนาดมาตรฐาน 27 หลุม ที่รอให้คุณสัมผัสประสบการณ์ที่ประทับใจทุกหย่อมหญ้า พรมหญ้าสีเขียวที่ทอดยาว ท้าทายให้คุณมาสัมผัสกับความสนุกในการเล่นกอล์ฟ
อีกทั้งยังได้ผ่อนคลาย ออกรอบพร้อมชื่นชมธรรมชาติแห่งขุนเขาที่รายล้อม เสน่ห์ของธรรมชาติ และเสียงนกร้องกู่ก้องขุนเขา ซึ่งมีมากกว่า 100 ชนิด สนามกอล์ฟสปริงฟิลด์ แห่งนี้ถูกออกแบบโดย แจ๊ค นิคลอส(Jack Nicklaus ) เขาออกแบบไว้ได้อย่างสวยงาม กลมกลืนกับธรรมชาติ และท้าทายนักกอล์ฟทุกระดับฝีมือ โดยเฉพาะ Valley Course ซึ่งเป็น 9 หลุมที่เปิดขึ้นใหม่ มีความยากและท้าทายนักกอล์ฟฝีมือดีเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะถ้าเล่นที่หมุดน้ำเงินหรือหลุมหลัง
ข้อมูลทางเทคนิคของสนามกอล์ฟ
เปิดให้บริการ 1993
ผู้ออกแบบ Jack Nicklaus
จำนวนหลุม 27 หลุม
พาร์ 72
ความยาว 7,043 หลา
หนึ่งในสนามกอล์ฟที่สวยงามและท้าทายของชะอำ จังหวัดเพชรบุรี เมืองแห่งวัฒนธรรม เลิศล้ำศิลปะ แดนธรรมะ ทะเลงาม
สนามกอล์ฟขนาดมาตรฐาน 27 หลุม ที่รอให้คุณสัมผัสประสบการณ์ที่ประทับใจทุกหย่อมหญ้า พรมหญ้าสีเขียวที่ทอดยาว ท้าทายให้คุณมาสัมผัสกับความสนุกในการเล่นกอล์ฟ
อีกทั้งยังได้ผ่อนคลาย ออกรอบพร้อมชื่นชมธรรมชาติแห่งขุนเขาที่รายล้อม เสน่ห์ของธรรมชาติ และเสียงนกร้องกู่ก้องขุนเขา ซึ่งมีมากกว่า 100 ชนิด สนามกอล์ฟสปริงฟิลด์ แห่งนี้ถูกออกแบบโดย แจ๊ค นิคลอส(Jack Nicklaus ) เขาออกแบบไว้ได้อย่างสวยงาม กลมกลืนกับธรรมชาติ และท้าทายนักกอล์ฟทุกระดับฝีมือ โดยเฉพาะ Valley Course ซึ่งเป็น 9 หลุมที่เปิดขึ้นใหม่ มีความยากและท้าทายนักกอล์ฟฝีมือดีเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะถ้าเล่นที่หมุดน้ำเงินหรือหลุมหลัง
ข้อมูลทางเทคนิคของสนามกอล์ฟ
เปิดให้บริการ 1993
ผู้ออกแบบ Jack Nicklaus
จำนวนหลุม 27 หลุม
พาร์ 72
ความยาว 7,043 หลา
Monday, May 30, 2011
Rugged Notebooks
Rugged Notebooks คือ คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คตระกูลอึด มีจุดเด่นเรื่องหลักออกแบบด้านความทนทาน แข็งแรง กันน้ำ รอบรับการใช้งานหนักเพื่อลดแรงกระแทรกเมื่อตกหล่นและการสั่นสะเทือนเป็นอย่างดี ทำงานได้ทุกสภาพอากาศ บางรุ่นใช้งานได้ในอุณหภูมิตั้งแต่ -29 ถึง 60 องศาเซลเซียส บางรุ่นน้ำหนักเบา นิยมกันมากในต่างประเทศ เช่น นาวิกโยธินสหรัฐฯ , รถสายตรวจต่างๆ วิศวกรก่อสร้าง, แพทย์, นักธุรกิจ และอีกหลายสาขาอาชีพที่ต้องการโน๊ตบุ๊คสมบุกสมบัน ไม่ต้องคอยระวังเรื่องความเสียหายของตัวเครื่องและข้อมูล จอสามารถมองเห็นได้แม้ภายนอกที่มีแสงจ้า
Rugged Notebooks แบ่งได้เป็น 3 Model คือ
1. Fully - rugged ถูกออกแบบ,ทนทานต่อการใช้งานทุกรูปแบบโดยเฉพาะการใช้งานกลางแจ้ง ไม่เน้นดีไซน์ มีรูปร่างที่บึกบึนเหมาะสำหรับหิ้วไปใช้งานในทุรกันดาร มีหน้าจอให้เลือกหลายขนาดให้เหมาะแก่การใช้งาน มีการเชื่อhttp://www.blogger.com/img/blank.gifมต่อที่ครบครัน ไม่ว่าจะเป็น Lan ,wireless , bluetooth, modem,3G,GPS แบตใช้ได้นานถึง 9 ชั่วโมง มีหูหิ้วเหมือนกระเป๋า NoteBooks ใน model นี้ จะผ่านการทดสอบ MIL-STD-810F ซึ่งเป็นมาตราฐานทางทหารของประเทศสหรัฐ และกันน้ำกันฝุ่นในระดับ IP54 (Dust protected, Splashing water)
2. Semi - rugged ถึงจะออกแบบมาในการใช้งานไม่สมบุกสมบันเท่า fully -rugged แต่ผ่านการทดสอบการตกจากที่สูง 76 เซนติเมตร รองรับแรงกดได้ถึง 100 kg keyboard มีระบบป้องกันน้ำมีระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูล ตัวเครื่องน้ำหนักเบา มีระบบป้องกันน้ำหกใส่ keyboard มีระบบป้องกัน Harddisk จากแรงกระแทก (Lenovo - Active Protection System) สามารถถอดเปลี่ยนได้ง่าย พกพาสะดวก เหมาะสำหรับ วิศวกร ประจำ Site งาน
3. Business - rugged เป็น model ที่ออกแบบมาใช้ในสำนักงาน แต่จะมาความทนทานมากว่า notebook ทั่วไป เนื่องจากผ่านการทดสอบการตกจากที่สูก 76 เซนติเมตร และรองรับแรงน้ำหนักได้ 100 kg ตัวเครื่องน้ำหนักเบา มีระบบป้องกันน้ำหกใส่ keyboard มีระบบป้องกัน Harddisk จากแรงกระแทก มีระบบป้องกันหน้าจอ LCD business rugged
โครงการรถไฟความเร็วสูง สายเอเชีย
โครงการรถไฟความเร็วสูง (High Speed Rail,HSR) สายเอเชีย เป็นโครงการของรัฐบาลไทย ที่จะร่วมทุนกับรัฐบาลจีน ซึ่งมีทั้งหมด 5 เส้นทาง ประกอบด้วย เส้นทางกรุงเทพฯ-หนองคาย, กรุงเทพฯ-ระยอง,กรุงเทพฯ-ปาดังเบซาร์, กรุงเทพฯ-อุบลราชธานี และกรุงเทพฯ-เชียงใหม่
นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม ระบุว่า ในราวปลายปี 54 ถึงต้นปี 55 น่าจะสามารถดำเนินการเปิดประมูลงานก่อสร้าง โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง สายเอเชีย เส้นทางแรกคือ กรุงเทพฯ-หนองคาย มูลค่า 1.5 แสนล้านบาท ระยะทาง 260 กิโลเมตร
โครงการรถไฟความเร็วสูง สายเอเชียดังกล่าว เกิดขึ้นหลังจากที่คณะของนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อราวเดือนมิ.ย.53 ขณะที่เมื่อปลายเดือนต.ค.ปีที่แล้ว ที่ประชุมรัฐสภา เห็นชอบร่างกรอบการเจรจาความร่วมมือ ด้านการพัฒนากิจการรถไฟระหว่างราชอาณาจักรไทย กับสาธารณรัฐประชาชนจีนโดยจะร่วมมือกันพัฒนาการก่อสร้างทาง, การเดินรถไฟ และการบริหารจัดการกิจการ รถไฟความเร็วสูง ใน 5 เส้นทางหลัก
ขณะนี้ยังมีอีกหลายประเด็นหลัก ที่ยังต้องสรุปของฝ่ายไทยก่อนที่จะเปิดการเจรจากับจีน เช่น เรื่องสัดส่วนการถือหุ้นของโครงการดังกล่าว ซึ่งตามกฏหมายของไทย โครงการร่วมทุนที่เป็นรัฐวิสาหกิจ กำหนดว่าไทยต้องถือหุ้นไม่น้อยกว่า 51% นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของผู้บริหารโครงการ ซึ่งก็ต้องมีการกำหนดว่า จากฝ่ายไทยจะมีจำนวนเท่าใด จีนจำนวนเท่าใด เพื่อไม่ให้ขัดต่อกฏระเบียบของทั้งสองฝ่าย ส่วนเรื่องของผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการดังกล่าว อาจจะใช้แนวทางให้ผู้รับเหมาก่อสร้างไทยและจีน จับมือร่วมกันเป็นพันธมิตร และยื่นประมูลร่วมกันซึ่งเห็นว่าเป็นแนวทางที่ทั้งสองประเทศจะได้ประโยชน์
นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม ระบุว่า ในราวปลายปี 54 ถึงต้นปี 55 น่าจะสามารถดำเนินการเปิดประมูลงานก่อสร้าง โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง สายเอเชีย เส้นทางแรกคือ กรุงเทพฯ-หนองคาย มูลค่า 1.5 แสนล้านบาท ระยะทาง 260 กิโลเมตร
โครงการรถไฟความเร็วสูง สายเอเชียดังกล่าว เกิดขึ้นหลังจากที่คณะของนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อราวเดือนมิ.ย.53 ขณะที่เมื่อปลายเดือนต.ค.ปีที่แล้ว ที่ประชุมรัฐสภา เห็นชอบร่างกรอบการเจรจาความร่วมมือ ด้านการพัฒนากิจการรถไฟระหว่างราชอาณาจักรไทย กับสาธารณรัฐประชาชนจีนโดยจะร่วมมือกันพัฒนาการก่อสร้างทาง, การเดินรถไฟ และการบริหารจัดการกิจการ รถไฟความเร็วสูง ใน 5 เส้นทางหลัก
ขณะนี้ยังมีอีกหลายประเด็นหลัก ที่ยังต้องสรุปของฝ่ายไทยก่อนที่จะเปิดการเจรจากับจีน เช่น เรื่องสัดส่วนการถือหุ้นของโครงการดังกล่าว ซึ่งตามกฏหมายของไทย โครงการร่วมทุนที่เป็นรัฐวิสาหกิจ กำหนดว่าไทยต้องถือหุ้นไม่น้อยกว่า 51% นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของผู้บริหารโครงการ ซึ่งก็ต้องมีการกำหนดว่า จากฝ่ายไทยจะมีจำนวนเท่าใด จีนจำนวนเท่าใด เพื่อไม่ให้ขัดต่อกฏระเบียบของทั้งสองฝ่าย ส่วนเรื่องของผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการดังกล่าว อาจจะใช้แนวทางให้ผู้รับเหมาก่อสร้างไทยและจีน จับมือร่วมกันเป็นพันธมิตร และยื่นประมูลร่วมกันซึ่งเห็นว่าเป็นแนวทางที่ทั้งสองประเทศจะได้ประโยชน์
ปัญหาราคาข้าวและเงินงบประมาณที่มาจากภาษีอากร
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยระบุว่ารัฐบาลต้องสนับสนุนระบบเศรษฐกิจเสรี ซึ่งแปลว่าต้องปล่อยให้กลไกราคาทำงานโดยรัฐบาลไม่ควรเข้าไปแทรกแซงหรือยุ่งเกี่ยวกับการทำงานของตลาด แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง เราจะเห็นว่ามีตลาดสินค้าบางชนิดที่รัฐบาลจะเข้าไปควบคุมดูแลระดับราคาของมัน เพราะรัฐบาลคิดว่าถ้าปล่อยให้กลไกราคาทำงานอย่างเสรีแล้ว ผลที่เกิดขึ้นจะทำให้คนส่วนใหญ่ได้รับความเดือดร้อน
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดก็คือการเข้าไปแทรกแซงระดับราคาสินค้าเกษตร ซึ่งหมายถึงการไม่ปล่อยให้ “ราคา” สินค้าเกษตรซื้อขายกันตามราคาตลาด และเมื่อไหร่ที่รัฐบาลมีนโยบายแทรกแซงการทำงานของตลาด คำถามที่ตามมาเสมอก็คือควรใช้วิธีอะไรในการแทรกแซงเพื่อให้เกิดประโยชน์กับเกษตรกรมากที่สุด หรือเกิดผลกระทบทางลบน้อยที่สุด ดังเช่นกรณีล่าสุด เรื่องของข้าว ที่เถียงกันว่าควรใช้วิธีใดระหว่างการรับจำนำกับการประกันราคา
อย่างไรก็ตาม หากจะกล่าวอย่างถึงที่สุดแล้ว การแทรกแซงราคาสินค้าของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นวิธีรับจำนำหรือประกันราคา ล้วนเป็นวิธีที่ทำโดยมีข้อจำกัดด้านงบประมาณ จึงแทบไม่ส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรยกตัวสูงขึ้น เนื่องจากรัฐบาลรับซื้อสินค้าเกษตรเป็นจำนวนน้อยมากเมื่อเทียบกับปริมาณผลผลิตทั้งหมด เช่น การเปิดรับจำนำข้าวทั้งหมดเพียง 6 ล้านตันจากผลผลิตข้าวนาปีทั้งหมดยี่สิบกว่าล้านตัน เป็นต้น จึงทำให้ผลประโยชน์จากการแทรกแซงตกอยู่กับคนกลุ่มเล็กๆ เพียงหยิบมือเดียว
คำถามคือ ถ้าเช่นนั้น รัฐบาลควรเลิกการแทรกแซงตลาดสินค้าเกษตรไปเลย จะดีหรือไม่?
คำตอบคือ ในระยะสั้น รัฐบาลคงยังต้องแทรกแซงหรือช่วยเหลือเกษตรกรต่อไป เพราะถ้าปล่อยให้ตลาดทำงานเอง มันจะมีปัญหาอย่างที่กล่าวมาแล้ว (อ่านเพิ่มเติม) แต่สิ่งที่รัฐบาลควรพิจารณาอย่างจริงจังคือคิดหาวิธีที่ได้ผลจริงๆ วิธีที่ทำให้ผลประโยชน์ตกอยู่กับคนส่วนใหญ่ วิธีที่ไม่สร้างภาระด้านงบประมาณให้กับรัฐบาลมากจนเกินไป วิธีที่ไม่เปิดช่องให้เกิดการทุจริตได้อย่างง่ายๆ วิธีที่สามารถสร้างพฤติกรรมของเกษตรกรให้เน้นการพึ่งตัวเองมากกว่าการหวังพึ่งความช่วยเหลือจากรัฐบาลอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ใช้วิธีการที่มีเป้าหมายหลักอยู่เพียงแค่การเพิ่มฐานเสียงและความนิยมเท่านั้น
ส่วนในระยะยาว ทางออกที่ควรจะเป็นคือการส่งเสริมการแปรรูปสินค้าเกษตรเพื่อเพิ่มมูลค่าของสินค้า ตลอดจนช่วยพัฒนาการผลิตของเกษตรกรเพื่อให้ได้ผลผลิตต่อไร่สูงขึ้น หรือไม่ก็ต้องหาวิธีลดต้นทุนการผลิตลงให้ได้
นอกจากนั้น การช่วยเหลือเกษตรกรยังต้องทำไปพร้อมๆ กับการพัฒนาด้านอื่นๆ เช่น การพัฒนาด้านการศึกษา การบริหารจัดการ แม้กระทั่งการพัฒนาทางด้านการเมือง เพื่อให้เกษตรกรรู้ว่าเงินที่นำมาใช้ในโครงการแทรกแซงตลาดนั้นล้วนเป็นเงินงบประมาณที่มาจากภาษีอากรทั้งสิ้น ไม่ใช่เงินจากกระเป๋าของนักการเมืองคนใดคนหนึ่ง
รายละเอียด อ่านเพิ่มเติม
ที่มา สุภาภรณ์ อัศวไชยชาญ, "รับจำนำกับการประกันราคา: ความเหมือนบนความแตกต่าง," Wednesday, 01 July 2009
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดก็คือการเข้าไปแทรกแซงระดับราคาสินค้าเกษตร ซึ่งหมายถึงการไม่ปล่อยให้ “ราคา” สินค้าเกษตรซื้อขายกันตามราคาตลาด และเมื่อไหร่ที่รัฐบาลมีนโยบายแทรกแซงการทำงานของตลาด คำถามที่ตามมาเสมอก็คือควรใช้วิธีอะไรในการแทรกแซงเพื่อให้เกิดประโยชน์กับเกษตรกรมากที่สุด หรือเกิดผลกระทบทางลบน้อยที่สุด ดังเช่นกรณีล่าสุด เรื่องของข้าว ที่เถียงกันว่าควรใช้วิธีใดระหว่างการรับจำนำกับการประกันราคา
อย่างไรก็ตาม หากจะกล่าวอย่างถึงที่สุดแล้ว การแทรกแซงราคาสินค้าของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นวิธีรับจำนำหรือประกันราคา ล้วนเป็นวิธีที่ทำโดยมีข้อจำกัดด้านงบประมาณ จึงแทบไม่ส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรยกตัวสูงขึ้น เนื่องจากรัฐบาลรับซื้อสินค้าเกษตรเป็นจำนวนน้อยมากเมื่อเทียบกับปริมาณผลผลิตทั้งหมด เช่น การเปิดรับจำนำข้าวทั้งหมดเพียง 6 ล้านตันจากผลผลิตข้าวนาปีทั้งหมดยี่สิบกว่าล้านตัน เป็นต้น จึงทำให้ผลประโยชน์จากการแทรกแซงตกอยู่กับคนกลุ่มเล็กๆ เพียงหยิบมือเดียว
คำถามคือ ถ้าเช่นนั้น รัฐบาลควรเลิกการแทรกแซงตลาดสินค้าเกษตรไปเลย จะดีหรือไม่?
คำตอบคือ ในระยะสั้น รัฐบาลคงยังต้องแทรกแซงหรือช่วยเหลือเกษตรกรต่อไป เพราะถ้าปล่อยให้ตลาดทำงานเอง มันจะมีปัญหาอย่างที่กล่าวมาแล้ว (อ่านเพิ่มเติม) แต่สิ่งที่รัฐบาลควรพิจารณาอย่างจริงจังคือคิดหาวิธีที่ได้ผลจริงๆ วิธีที่ทำให้ผลประโยชน์ตกอยู่กับคนส่วนใหญ่ วิธีที่ไม่สร้างภาระด้านงบประมาณให้กับรัฐบาลมากจนเกินไป วิธีที่ไม่เปิดช่องให้เกิดการทุจริตได้อย่างง่ายๆ วิธีที่สามารถสร้างพฤติกรรมของเกษตรกรให้เน้นการพึ่งตัวเองมากกว่าการหวังพึ่งความช่วยเหลือจากรัฐบาลอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ใช้วิธีการที่มีเป้าหมายหลักอยู่เพียงแค่การเพิ่มฐานเสียงและความนิยมเท่านั้น
ส่วนในระยะยาว ทางออกที่ควรจะเป็นคือการส่งเสริมการแปรรูปสินค้าเกษตรเพื่อเพิ่มมูลค่าของสินค้า ตลอดจนช่วยพัฒนาการผลิตของเกษตรกรเพื่อให้ได้ผลผลิตต่อไร่สูงขึ้น หรือไม่ก็ต้องหาวิธีลดต้นทุนการผลิตลงให้ได้
นอกจากนั้น การช่วยเหลือเกษตรกรยังต้องทำไปพร้อมๆ กับการพัฒนาด้านอื่นๆ เช่น การพัฒนาด้านการศึกษา การบริหารจัดการ แม้กระทั่งการพัฒนาทางด้านการเมือง เพื่อให้เกษตรกรรู้ว่าเงินที่นำมาใช้ในโครงการแทรกแซงตลาดนั้นล้วนเป็นเงินงบประมาณที่มาจากภาษีอากรทั้งสิ้น ไม่ใช่เงินจากกระเป๋าของนักการเมืองคนใดคนหนึ่ง
รายละเอียด อ่านเพิ่มเติม
ที่มา สุภาภรณ์ อัศวไชยชาญ, "รับจำนำกับการประกันราคา: ความเหมือนบนความแตกต่าง," Wednesday, 01 July 2009
Saturday, May 28, 2011
โนอาห์ เว็บสเตอร์ (Noah Webster)
โนอาห์ เว็บสเตอร์ (อังกฤษ: Noah Webster – 16 ต.ค. 2301-28 พ.ค. 2386) นักพจนานุกรม (lexicographer) เกิดที่เมืองฮาร์ตฟอร์ด ในรัฐคอนเนตทิคัต ได้รับการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเยล จบแล้วทำงานด้านกฎหมายแต่กลับชอบสอนหนังสือ เว็บสเตอร์เริ่มมีชื่อเสียงจากผลงานส่วนแรกที่ต่อมาเป็นที่รู้จักกันคือ “หนังสือหลักการสะกดคำของเว็บสเตอร์” ของ “สถาบันไวยากรณ์อังกฤษ” (พ.ศ. 2326) ก่อนปี พ.ศ. 2341 เว็บสเตอร์ยังคงยุ่งอยู่กับการเขียนบทความทางการเมือง การออกเอกสารแผ่นพับ การบรรยายตลอดจนการทำหนังสือพิมพ์จนเกษียณ
หลังเกษียณจึงได้หันมาเน้นด้านอักษรศาสตร์ที่ทำให้เว็บสเตอร์เป็นที่รู้จักในวงการพจนานุกรมอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะ “พจนานุกรมภาษาอังกฤษของอเมริกา” (ชุด 2 เล่ม) โดยทำการจดทะเบียนลิขสิทธิ์เป็นครั้งแรกของสหรัฐฯ ในปีพ.ศ. 2371 ซึ่งกลายเป็นอิทธิพลหลักที่มีต่อการเขียนพจนานุกรมในสมัยต่อๆ มา นอกจากนี้ หนังสือชื่อ “หนังสือสกดคำปกน้ำเงิน” ได้ถูกนำมาใช้สอนในโรงเรียนของสหรัฐฯ เป็นเวลานานถึง 5 ชั่วคน เว็บสเตอร์จึงเกือบกลายเป็นคำเสมือนที่ใช้เรียกแทนพจนานุกรม และตัวเขาเองก็ได้รับการขนานามว่าเป็น “บิดาแห่งวิชาการและการศึกษา” ของอเมริกา ปัจจุบันพจนานุกรมของเขายังคงอยู่ในชื่อของ “พจนานุกรมเมอร์เรียม-เว็บสเตอร์”
โนอาห์ เว็บสเตอร์ มีชีวิตอยู่ตรงกับระหว่างรัชสมัยพระเจ้าเอกทัศน์ปลายสมัยอยุธยาและรัชสมัยของพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 สมัยรัตนโกสินทร์
ที่มา: Thai Wikipedia
Sunday, May 08, 2011
พลับพลา เกาะหมาก รีทรีท
พลับพลา เกาะหมาก รีทรีท รีสอร์ทท่ามกลางธรรมชาติและพรรณไม้นานาชนิด และหาดทรายสีขาวบนเกาะหมาก จังหวัดตราด ที่รอคอยผู้มาเยือน... เพื่อสัมผัสความงดงามแห่งท้องทะเลในบรรยากาศส่วนตัว พร้อมบริการที่เป็นมิตรhttp://www.blogger.com/img/blank.gif
This video was created by Niramita Chantasut and her husband.
Call Center (02) 664-0861-5
ที่อยู่ 50/5 หมู่ 2 อ่าวไผ่ เกาะหมาก จ.ตราด 23120
Link:
ที่พักเกาะหมาก
Plubpla Koh Mak Retreat
มากะธานี รีสอร์ท
เดอะ ชินนาม่อน อาร์ต รีสอร์ท แอนด์ สปา
เที่ยวเกาะหมาก
This video was created by Niramita Chantasut and her husband.
Call Center (02) 664-0861-5
ที่อยู่ 50/5 หมู่ 2 อ่าวไผ่ เกาะหมาก จ.ตราด 23120
Link:
ที่พักเกาะหมาก
Plubpla Koh Mak Retreat
มากะธานี รีสอร์ท
เดอะ ชินนาม่อน อาร์ต รีสอร์ท แอนด์ สปา
เที่ยวเกาะหมาก
Sunday, May 01, 2011
Wednesday, April 13, 2011
สงกรานต์
สงกรานต์ เป็นประเพณีปีใหม่ของประเทศไทย ลาว กัมพูชา พม่า ชนกลุ่มน้อยชาวไตแถบเวียดนามและมณฑลยูนนานของจีน ศรีลังกาและทางตะวันออกของประเทศอินเดีย สงกรานต์เป็นคำสันสกฤต หมายถึงการเคลื่อนย้าย ซึ่งเป็นการอุปมาถึงการเคลื่อนย้ายของการประทับในจักรราศี หรือคือการเคลื่อนขึ้นปีใหม่ในความเชื่อของไทยและบางประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชาวต่างประเทศเรียกว่า "สงครามน้ำ"
สงกรานต์ เป็นประเพณีเก่าแก่ของไทยซึ่งสืบทอดมาแต่โบราณคู่มากับประเพณีตรุษ จึงมีการเรียกรวมกันว่า ประเพณีตรุษสงกรานต์ หมายถึงประเพณีส่งท้ายปีเก่า และต้อนรับปีใหม่ คำว่าตรุษเป็นภาษาทมิฬ แปลว่าการสิ้นปี
พิธีสงกรานต์ เป็นพิธีกรรมที่เกิดขึ้นในสมาชิกในครอบครัว หรือชุมชนบ้านใกล้เรือนเคียง แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนไปสู่สังคมในวงกว้าง และมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนทัศนคติ และความเชื่อไป ในความเชื่อดั้งเดิมใช้สัญลักษณ์เป็นองค์ประกอบหลักในพิธี ได้แก่ การใช้น้ำเป็นตัวแทน แก้กันกับความหมายของฤดูร้อน ช่วงเวลาที่พระอาทิตย์เคลื่อนเข้าสู่ราศีเมษ ใช้น้ำรดให้แก่กันเพื่อความชุ่มชื่น มีการขอพรจากผู้ใหญ่ การรำลึกและกตัญญูต่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับ ในชีวิตสมัยใหม่ของสังคมไทยเกิดประเพณีกลับบ้านในเทศกาลสงกรานต์ นับวันสงกรานต์เป็นวันครอบครัว ในพิธีเดิมมีการสรงน้ำพระที่นำสิริมงคล เพื่อให้เป็นการเริ่มต้นปีใหม่ที่มีความสุข ปัจจุบันมีพัฒนาการและมีแนวโน้มว่าได้มีการเสริมจนคลาดเคลื่อนบิดเบือนไป เกิดการประชาสัมพันธ์ในเชิงการท่องเที่ยวว่าเป็น ‘Water Festival’ เป็นภาพของการใช้น้ำเพื่อแสดงความหมายเพียงประเพณีการเล่นน้ำ
การที่สังคมเปลี่ยนไป มีการเคลื่อนย้ายที่อยู่เข้าสู่เมืองใหญ่ และถือวันสงกรานต์เป็นวัน "กลับบ้าน" ทำให้การจราจรคับคั่งในช่วงวันก่อนสงกรานต์ วันแรกของเทศกาล และวันสุดท้ายของเทศกาล เกิดอุบัติเหตุทางถนนสูง นับเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นตามการเปลี่ยนแปลงหลายด้านของสังคม นอกจากนี้ เทศกาลสงกรานต์ยังถูกใช้ในการส่งเสริมการท่องเที่ยว ทั้งต่อคนไทย และต่อนักท่องเที่ยวต่างประเทศ
วันในเทศกาลสงกรานต์
ปฏิทินไทยในขณะนี้กำหนดให้เทศกาลสงกรานต์ตรงกับวันที่ 13-15 เมษายน ของทุกปี และเป็นวันหยุดราชการ อย่างไรก็ตาม ประกาศสงกรานต์อย่างเป็นทางการจะคำนวณตามหลักเกณฑ์ในคัมภีร์สุริยยาตร์ ซึ่งแต่โบราณมา กำหนดให้วันแรกของเทศกาล เป็นวันที่พระอาทิตย์ย้ายออกจากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษ เรียกว่า "วันมหาสงกรานต์"[ต้องการอ้างอิง] วันถัดมาเรียกว่า "วันเนา" และวันสุดท้าย เป็นวันเปลี่ยนจุลศักราชและเริ่มใช้กาลโยคประจำปีใหม่ เรียกว่า "วันเถลิงศก" โดยมึสูตร หา หรคุณจูเลียน (JD) [ต้องการอ้างอิง] วันมหาสงกรานต์ และ วันเถลิงศกดังนี้
JD วันมหาสงกรานต์ = ปัดลง[(292207* (พ.ศ.-1181) -559)/800] + 1954167
JD วันเถลิงศก= ปัดลง[(292207* (พ.ศ.-1181) +1173)/800] + 1954167
จากหลักการข้างต้นนี้ ทำให้ปัจจุบันเทศกาลสงกรานต์มักตรงกับวันที่ 14-16 เมษายน[ต้องการอ้างอิง] (ยกเว้นบางปี เช่น พ.ศ. 2551 และ พ.ศ. 2555 ที่สงกรานต์กลับมาตรงกับวันที่ 13-15 เมษายน) ซึ่งบางปีก็อาจจะตรงกับวันใดวันหนึ่ง
กิจกรรมในวันสงกรานต์
-การทำบุญตักบาตร ถือว่าเป็นการสร้างบุญสร้างกุศลให้ตัวเอง และ อุทิศส่วนกุศลนั้นแก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว การทำบุญแบบนี้มักจะเตรียมไว้ล่วงหน้า นำอาหารไปตักบาตรถวายพระภิกษุที่ศาลาวัด ซึ่งจัดเป็นที่รวมสำหรับทำบุญ ในวันนี้หลังจากที่ได้ทำบุญเสร็จแล้ว ก็จะมีการก่อพระทรายอันเป็นประเพณีด้วย
-การรดน้ำ เป็นการอวยพรปีใหม่ให้กันและกัน น้ำที่รดมักใช้น้ำหอมเจือด้วยน้ำธรรมดา
-การสรงน้ำพระจะรดน้ำพระพุทธรูปที่บ้านและที่วัด และบางที่จัด สรงน้ำพระสงฆ์ ด้วยบังสุกุลอัฐิ กระดูกญาติผู้ใหญ่ที่ตายแล้ว มักก่อเป็นเจดีย์ แล้วนิมนต์พระไปบังสุกุล
-การรดน้ำผู้ใหญ่ คือการไปอวยพรให้ผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ ครูบาอาจารย์ ท่านผู้ใหญ่มักจะนั่งลงแล้วผู้ที่รดก็จะเอาน้ำหอมเจือกับน้ำรดที่มือท่าน ท่านจะให้ศีลให้พรผู้ที่ไปรด ถ้าเป็นพระก็จะนำผ้าสบงไปถวายให้ท่านผลัดเปลี่ยนด้วย หากเป็นฆราวาสก็จะหาผ้าถุง ผ้าขาวม้าไปให้
-การดำหัว ก็คือการรดน้ำนั่นเอง แต่เป็นคำเมืองทางภาคเหนือ การดำหัวเรียกกันเฉพาะการรดน้ำผู้ใหญ่ที่เราเคารพนับถือ ผู้สูงอายุ คือการขอขมาในสิ่งที่ได้ล่วงเกินไปแล้ว หรือ การขอพรปีใหม่จากผู้ใหญ่ ของที่ใช้ในการดำหัวส่วนมากมีผ้าขนหนู มะพร้าว กล้วย และ ส้มป่อย
-การปล่อยนกปล่อยปลา ถือเป็นการล้างบาปที่ทำไว้ เป็นการสะเดาะเคราะห์ร้ายให้มีแต่ความสุขความสบายในวันขึ้นปีใหม่
-การนำทรายเข้าวัด ทางภาคเหนือนิยมขนทรายเข้าวัดเพื่อเป็นนิมิตโชคลาภ ให้มีความสุขความเจริญ เงินทองไหลมาเทมาดุจทรายที่ขนเข้าวัด
ที่มา: สงกรานต์ จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Wednesday, April 06, 2011
วันจักรี
วันจักรี เป็นวันที่ระลึกถึงพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และมหาจักรีบรมราชวงศ์ ตรงกับวันที่ 6 เมษายนของทุกปี
ประวัติ
วันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 เป็นวันที่ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เสด็จปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี และทรงสร้างกรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวงของไทย
ด้วยพระมหากรุณาธิคุณดังกล่าว ในปี พ.ศ. 2416 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าฯ ให้หล่อพระบรมรูปพระเจ้าอยู่หัวทั้ง 4 พระองค์ (ร.1-4) เพื่อประดิษฐานไว้ให้พระมหากษัตริย์องค์ต่อมา พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ และประชาชนได้ถวายบังคมระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ เป็นธรรมเนียมปีละครั้ง และโปรดเกล้าให้อัญเชิญไปประดิษฐานไว้บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท และมีการย้ายที่หลายครั้ง เช่น พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ปราสาท และพระที่นั่งศิวาลัยปราสาทเป็นต้น ต่อมาในรัชสมัยรัชกาลที่ 6 ทรงโปรดให้ย้ายพระบรมรูปทั้ง 4 (ร.1-4) มาไว้ ณ ปราสาทพระเทพบิดร ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พร้อมกับพระบรมรูปของรัชกาลที่ 5 พระชนกนาถ
จนกระทั่ง ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2461 การซ่อมแซมก่อสร้างและประดิษฐานพระบรมรูปทั้ง 5 รัชกาล จึงสำเร็จลุล่วง และได้มีพระบรมราชโองการ ประกาศตั้งพระราชพิธีถวายบังคมพระบรมรูป ในวันที่ 6 เมษายนปีนั้น และต่อมา โปรดฯ ให้เรียกวันที่ 6 เมษายนว่า “วันจักรี”
ที่มา: วันจักรี วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Tuesday, April 05, 2011
Saturday, April 02, 2011
Tim Berners-Lee
Tim Berners-Lee (Sir Timothy John "Tim" Berners-Lee) เกิดเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 1955 เป็นนักฟิสิกส์และนักวิทยาศาสตร์สาขาคอมพิวเตอร์ชาวอังกฤษ และเป็นอาจารย์ที่ MIT เป็นผู้คิดค้น World Wide Web ขึ้นในเดือนมีนาคม 1989 และในวันที่ 25 ธันวาคม 1990 เขาได้ประสบความสำเร็จในการพัฒนาระบบการสื่อสารแบบ Client/Server บนอินเทอร์เน็ตโดยใช้โปรโตคอล HTTP (Hypertext Transfer Protocol) รวมทั้งภาษาสำหรับจัดการ Web Document ด้วย HTML (Hypertext Markup Language) ที่สถาบันวิจัย CERN (European Organization for Nuclear Research) โดยมีผู้ช่วยคือนาย Robert Cailliau (เกิดวันที่ 26 มกราคม 1947)
(NeXT Computer System) Web Server, Web Browser และ Web Editor เครื่องแรกของโลกที่ Tim Berners-Lee ใช้สร้าง HTTP และ HTML ที่ สถาบันวิจัย CERN โดยมี Domain Name ของ Web Server เครื่องแรกของโลกคือ http://info.cern.ch เริ่มทำงานแบบ Online ครั้งแรกเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 1991
งานคิดค้น World Wide Web สำเร็จได้โดย Tim Berners-Lee ได้นำแนวคิดของระบบ ENQUIRE (ระบบการแลกเปลี่ยนข่าวสารแบบ Hypertext สำหรับนักวิจัยที่สถาบันวิจัย CERN ซึ่ง Tim Berners-Lee คิดค้นเมื่อปี 1980) มาประยุกต์กับการคิดค้นระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตและการกำหนดมาตรฐานโปรโตคอล TCP/IP, UDP และ DNS ซึ่งเป็นผลมาจากโครงการ ARPANET โดยมีนักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์คนสำคัญหลายคน ดังนี้
1. Jonathan Bruce Postel (6 August 1943 - 16 October 1998) ผู้ออกแบบและกำหนดมาตรฐานโปรโตคอล TCP/IP, UDP, DNS, SMTP และโปรโตคอลอื่นๆ
2. Paul Baran (1926–2011) คิดค้น Packet Switching
3. Donald Davies (7 June 1924 – 28 May 2000) คิดค้น Packet Switching
4. Leonard Kleinrock (เกิด 1934 และยังมีชีวิตอยู่) คิดค้น Queueing Theory เป็นส่วนสำคัญให้ Packet Switching สามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์ และคิดค้นเครืองสื่อสารข้อมูล Interface Message Processor (IMP) ใช้เป็นโหนดในการสือสารของ Packet Switching ในโครงการระบบเครือข่าย ARPANET
Tim Berners-Lee สำเร็จปริญญาตรี โท จาก Queen's College แห่งมหาวิทยาลัย Oxford สาขาฟิสิกส์ (1973,1976) ด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง
ปัจจุบัน Tim Berners-Lee เป็นผู้อำนวยการของ W3C (World Wide Web Consortium) และเป็นนักวิจัยอาวุโสของ MIT CSAIL (Computer Science and Artificial Intelligence Laboratory) และเป็นผู้อำนวยการ WSRI (Web Science Research Initiative) และในเดือนเมษายน 2009 เขาได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกของ United States National Academy of Sciences ที่ Washington D.C.
ที่มา: Tim Berners-Lee
Thursday, March 31, 2011
Jonathan Bruce Postel (Jon Postel)
โจนาธาน บรูซ โพสเทล (Jonathan Bruce Postel)
(6 สิงหาคม 1943 - 16 ตุลาคม 1998) มีอายุได้ 55 ปี เป็นนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน สาขาคอมพิวเตอร์ ผู้พัฒนามาตรฐานระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เป็นบรรณาธิการเอกสาร RFC และเป็นผู้บริหาร Internet Assigned Numbers Authority (IANA)
โจนาธาน บรูซ โพสเทล สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีและปริญญาโทสาขาวิศวกรรมศาสตร์ (1966,1968) และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ (1974) แห่ง UCLA (University of California, Los Angeles) ขณะเขาอยู่ที่ UCLA เขาได้ร่วมงานในการพัฒนาเครือข่าย ARPANET หลังจากนั้นเขาได้ย้ายไปทำงานที่สถาบันวิทยาการสารสนเทศ (Information Sciences Institute) แห่ง University of Southern California
โจนาธาน บรูซ โพสเทล ถือเป็นผู้บุกเบิกอินเทอร์เน็ตคนสำคัญยิ่งและเป็นผู้ออกแบบและกำหนดมาตรฐานโปรโตคอล TCP/IP ซึ่งเป็นโปรโตคอลหลักที่ใช้ในการรับส่งข้อมูลระดับชั้น Transport Layer บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต และนอกจากนี้ยังเป็นผู้ออกแบบและกำหนดมาตรฐานโปรโตคอล DNS รวมทั้งโปรโตคอลอื่นๆ ด้วย
ที่มา: Jon Postel
Monday, March 28, 2011
Paul Baran หนึ่งในผู้บุกเบิกอินเทอร์เน็ตตายแล้ว
หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์รายงานว่านายพอล บารัน (Mr.Paul Baran) วิศวกรอเมริกันที่ช่วยสร้างอาร์พาเนต ( Arpanet) อันเป็นเครือข่ายที่รัฐบาลสหรัฐใช้ก่อนกลายมาเป็นอินเทอร์เนตนั้น เสียชีวิตแล้วขณะมีอายุ 84 ปีที่รัฐแคลิฟอร์เนีย ด้วยโรคมะเร็งปอด
ทั้งนี้ นายบารันนำเสนอการสร้างเครือข่ายด้านการสื่อสารที่เปราะบางน้อยกว่าเครือข่ายทั่วไป ต่อการโจมตีหรือการประสบปัญหา การประดิษฐ์คิดค้นของเขาช่วงกลางทศวรรษ 60 ล้ำยุคมากจนเมื่อเขาไปเสนอแนวคิดเพื่อสร้างเครือข่ายนี้ต่อบริษัทเอทีแอนด์ที ปรากฏว่าถูกบริษัทปฏิเสธ
นายวินตัน เซิร์ฟ รองประธานกูเกิลและเพื่อนสนิทของบารัน กล่าวว่าเอทีแอนด์ทีปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่าว่าแนวคิดของเขาไม่มีทางได้ผล และไม่เข้าร่วมในโครงการอาพราเนต
ทั้งนี้ กระทรวงกลาโหมสหรัฐเป็นผู้สร้างอาร์พาเนตเมื่อปี 2512 และต่อมาเครือข่ายดังกล่าวได้กลายมาเป็นอินเทอร์เน็ต (Internet)
เทคโนโลยีการสื่อสารที่นายบารันนำเสนอคือ เทคโนโลยีการสื่อสารข้อมูลแบบบล็อกข้อมูลกระจาย (Messages Block Distributed Communications) หรือที่เรียกว่า Packet Switching ซึ่งในขณะที่นายบารันคิดค้นเทคโนโลยีสื่อสารแบบใหม่นี้ (เป็นการสื่อสารแบบดิจิตอล) โลกในขณะนั้นใช้เทคโนโลยีการสื่อสารแบบ Circuit Switching
เทคโนโลยีการสื่อสารแบบ Packet Switching เป้นการคิดค้นจากนักวิจัยจำนวน 3 คน ดังนี้
1.Paul Baran (1926–2011) คิดค้น Packet Switching
2.Donald Davies (7 June 1924 – 28 May 2000) คิดค้น Packet Switching
3.Leonard Kleinrock (เกิด 1934 และยังมีชีวิตอยู่) คิดค้น Queueing Theory เป็นส่วนสำคัญให้ Packet Switching สามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์ และคิดค้นเครืองสื่อสารข้อมูล Interface Message Processor (IMP) ใช้เป็นโหนดในการสือสารของ Packet Switching ในโครงการระบบเครือข่าย ARPANET
ที่มา:
- กรุงเทพธุรกิจ, "ผู้บุกเบิกอินเทอร์เน็ตตายแล้ว"
- The NewyorkTime, "Paul Baran, Internet Pioneer, Dies at 84"
- Packet Switching
Saturday, March 12, 2011
12 มี.ค 2367
วันนี้เมื่อหลายปีก่อนเป็นวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญคือ เมื่อวันที่ 12 มี.ค 2367 อังกฤษประกาศสงครามครั้งแรกกับพม่าอย่างเป็นทางการ สมัยพระเจ้าบาคญีดอ จากนั้นได้ส่งกองทัพบุกแคว้นยะไข่ ยึดร่างกุ้งได้ในเวลาต่อมา
พบรักในที่ทำงาน
ผมพบบทความนี้โดยบังเอิญและคิดว่าคนในวัยทำงานทุกคนน่าจะได้ประสบกับสถานการณ์ที่เรียกว่า พบรักในที่ทำงาน ดังนั้นผมจึงนำบทความนี้จาก น้อง CUPID มาลงใน Blog ของผม เพื่ออ่านกันแบบสนุกๆ
-----------------
พบรักในที่ทำงาน
อย่างที่ทราบกันดีว่า หลายๆชั่วโมงในหนึ่งวันเราก็อยู่แต่ที่ทำงาน ดังนั้นจึงมีโอกาสเป็นไปได้สูงมากที่จะเป็นแฟนกันในที่ทำงาน อ๊ะอ๊ะแต่ก่อนจะจีบใครในที่ทำงาน เราควรทราบลักษณะเฉพาะของที่ทำงานกันก่อน ซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อไม่ดี เพื่อจะได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้แต่เนิ่นๆค่ะ ลักษณะเฉพาะที่ว่านี้และข้อแนะนำก็คือ
1. ข่าวคราวจะแพร่เร็วมาก โดยเฉพาะข่าวไม่ดีในทุกสังคมจะแพร่เร็วเป็นพิเศษ ดังนั้นถ้าไม่อยากตกเป็นข่าว(เม๊าส์)ก็ควรทำตัวเงียบๆเข้าไว้ค่ะ อย่าจู๋จี๋กันมากเกินไป จนคนหมั่นไส้ หรือเจ้านายต้องเรียกเตือนให้มาทำงาน ม่ายอาว ม่ายอาว
2. ไม่รู้เป็นอะไร พวกนี้จะมีโสดไม่จริงแฝงตัวอยู่เป็นจำนวนมาก ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน(ใครรู้ช่วยบอกด้วยจ้า) ดังนั้นจะรักใครชอบใครควรสืบประวัติดีๆก่อนนะคะ ผู้หญิงบางคนแต่งงานแล้วแต่ไม่ได้เปลี่ยนนามสกุล หรือผู้ชายบางคนแต่งงานแล้ว แต่เป็นประเภทโสดเฉพาะนอกบ้านก็เยอะค่ะ ดังนั้นควรลองถามประวัติกับเพื่อนร่วมงานเค้า หรือหัวหน้า หรือลูกน้องเขาก่อนจะดีที่สุดค่ะ
3. การทำงานด้วยกัน มันต้องมีปัญหาเข้ามาอยู่แล้ว ซึ่งการแก้ไขปัญหาหรือการควบคุมอารมณ์แต่ละคนจะไม่เหมือนกัน ดังนั้นเราควรใช้ความใกล้ชิดกับเพื่อนร่วมงานให้เป็นประโยชน์ โดยการ(แอบ)ถามเพื่อนร่วมงานเค้า ว่าเค้าทำงานเป็นยังไงบ้าง ขี้โมโหมั๊ย มีความรับผิดชอบเรื่องงานมั๊ย ทำงานเครียดหรือไม่ งกกับลูกน้องบ้างเปล่า หรือชอบดุด่าว่ากล่าวโดยไม่มีเหตุผล คำถามพวกนี้ช่วยได้มากทีเดียวค่ะ เพราะมันคือชีวิตประจำวันเค้าเวลาเจอปัญหาหรือการอยู่ต่อหน้าคนอื่น ดังนั้นถ้าเราฟังคำตอบแล้วรับไม่ได้ ก็อย่าไปจีบหรือไปชอบเค้าตั้งแต่ต้นจะดีกว่าค่ะ คนเราดูภายนอกอย่างเดียวมันไม่พอ
4. หนีไม่พ้นต้องเจอกันบ่อย หรือทุกวัน ดังนั้นการคบกัน คงมีบ้างที่มีปัญหากัน จึงให้ระลึกไว้เสมอว่า จงอย่าเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องงาน ไม่ใช่ว่าเวลาทะเลาะกันก็บอกว่า ถ้าให้หนูทำงานกับเค้า หนูไม่ทำ ถ้าเป็นอย่างนี้อาจจะเสียทั้งแฟนเสียทั้งงานได้โดยไม่รู้ตัวนะจ๊ะ
5. มีตัวเชื่อมให้คุยกันมากมาย ทำให้เนื้อหาในการสนทนาไม่น่าเบื่อหน่าย เช่นคุยกันเรื่องปัญหาการทำงาน ปัญหากับเจ้านาย กับลูกน้อง เป็นต้น
6. ใครๆก็รู้จักเราสองคน ดังนั้นควรทำตัวให้ดี จีบกันอย่างสร้างสรรค์ และอย่าทะเลาะกันจนคนอื่นเค้าเอาไปนินทา รักษาภาพพจน์ในที่ทำงานด้วยจ้ะ แล้วก็อย่าให้ตนเองกลายเป็นคนดังในเรื่องความเจ้าชู้จีบไม่เลือก หรือเป็นแฟนกับใครก็คบไม่นานเลิกทุกราย อย่างนี้ใครจะกล้าเข้ามาใหม่ล่ะคะ หรือถ้าต้องเลิกกันก็อย่าไปเที่ยวเล่าความไม่ดีของเค้าให้คนอื่นฟังค่ะ มันไม่ดีเลย
7. ต้องยอมรับสภาพว่า ถ้าจีบไม่ติด หรือเป็นแฟนกันแล้วต้องเลิกกัน ยังไงก็ต้องทำงานด้วยกันกับเค้าให้ได้ค่ะ ต้องมี spirit ในการทำงาน ดังนั้นถ้าจีบควรจีบแบบเนียนๆ อย่าให้ใครรู้จะดีที่สุด หรือถ้ารู้ ก็อย่ารู้วงกว้างมากไป เดี๋ยวเลิกกันจะลำบากตอบคำถาม
ที่มา: น้อง CUPID
-----------------
พบรักในที่ทำงาน
อย่างที่ทราบกันดีว่า หลายๆชั่วโมงในหนึ่งวันเราก็อยู่แต่ที่ทำงาน ดังนั้นจึงมีโอกาสเป็นไปได้สูงมากที่จะเป็นแฟนกันในที่ทำงาน อ๊ะอ๊ะแต่ก่อนจะจีบใครในที่ทำงาน เราควรทราบลักษณะเฉพาะของที่ทำงานกันก่อน ซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อไม่ดี เพื่อจะได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้แต่เนิ่นๆค่ะ ลักษณะเฉพาะที่ว่านี้และข้อแนะนำก็คือ
1. ข่าวคราวจะแพร่เร็วมาก โดยเฉพาะข่าวไม่ดีในทุกสังคมจะแพร่เร็วเป็นพิเศษ ดังนั้นถ้าไม่อยากตกเป็นข่าว(เม๊าส์)ก็ควรทำตัวเงียบๆเข้าไว้ค่ะ อย่าจู๋จี๋กันมากเกินไป จนคนหมั่นไส้ หรือเจ้านายต้องเรียกเตือนให้มาทำงาน ม่ายอาว ม่ายอาว
2. ไม่รู้เป็นอะไร พวกนี้จะมีโสดไม่จริงแฝงตัวอยู่เป็นจำนวนมาก ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน(ใครรู้ช่วยบอกด้วยจ้า) ดังนั้นจะรักใครชอบใครควรสืบประวัติดีๆก่อนนะคะ ผู้หญิงบางคนแต่งงานแล้วแต่ไม่ได้เปลี่ยนนามสกุล หรือผู้ชายบางคนแต่งงานแล้ว แต่เป็นประเภทโสดเฉพาะนอกบ้านก็เยอะค่ะ ดังนั้นควรลองถามประวัติกับเพื่อนร่วมงานเค้า หรือหัวหน้า หรือลูกน้องเขาก่อนจะดีที่สุดค่ะ
3. การทำงานด้วยกัน มันต้องมีปัญหาเข้ามาอยู่แล้ว ซึ่งการแก้ไขปัญหาหรือการควบคุมอารมณ์แต่ละคนจะไม่เหมือนกัน ดังนั้นเราควรใช้ความใกล้ชิดกับเพื่อนร่วมงานให้เป็นประโยชน์ โดยการ(แอบ)ถามเพื่อนร่วมงานเค้า ว่าเค้าทำงานเป็นยังไงบ้าง ขี้โมโหมั๊ย มีความรับผิดชอบเรื่องงานมั๊ย ทำงานเครียดหรือไม่ งกกับลูกน้องบ้างเปล่า หรือชอบดุด่าว่ากล่าวโดยไม่มีเหตุผล คำถามพวกนี้ช่วยได้มากทีเดียวค่ะ เพราะมันคือชีวิตประจำวันเค้าเวลาเจอปัญหาหรือการอยู่ต่อหน้าคนอื่น ดังนั้นถ้าเราฟังคำตอบแล้วรับไม่ได้ ก็อย่าไปจีบหรือไปชอบเค้าตั้งแต่ต้นจะดีกว่าค่ะ คนเราดูภายนอกอย่างเดียวมันไม่พอ
4. หนีไม่พ้นต้องเจอกันบ่อย หรือทุกวัน ดังนั้นการคบกัน คงมีบ้างที่มีปัญหากัน จึงให้ระลึกไว้เสมอว่า จงอย่าเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องงาน ไม่ใช่ว่าเวลาทะเลาะกันก็บอกว่า ถ้าให้หนูทำงานกับเค้า หนูไม่ทำ ถ้าเป็นอย่างนี้อาจจะเสียทั้งแฟนเสียทั้งงานได้โดยไม่รู้ตัวนะจ๊ะ
5. มีตัวเชื่อมให้คุยกันมากมาย ทำให้เนื้อหาในการสนทนาไม่น่าเบื่อหน่าย เช่นคุยกันเรื่องปัญหาการทำงาน ปัญหากับเจ้านาย กับลูกน้อง เป็นต้น
6. ใครๆก็รู้จักเราสองคน ดังนั้นควรทำตัวให้ดี จีบกันอย่างสร้างสรรค์ และอย่าทะเลาะกันจนคนอื่นเค้าเอาไปนินทา รักษาภาพพจน์ในที่ทำงานด้วยจ้ะ แล้วก็อย่าให้ตนเองกลายเป็นคนดังในเรื่องความเจ้าชู้จีบไม่เลือก หรือเป็นแฟนกับใครก็คบไม่นานเลิกทุกราย อย่างนี้ใครจะกล้าเข้ามาใหม่ล่ะคะ หรือถ้าต้องเลิกกันก็อย่าไปเที่ยวเล่าความไม่ดีของเค้าให้คนอื่นฟังค่ะ มันไม่ดีเลย
7. ต้องยอมรับสภาพว่า ถ้าจีบไม่ติด หรือเป็นแฟนกันแล้วต้องเลิกกัน ยังไงก็ต้องทำงานด้วยกันกับเค้าให้ได้ค่ะ ต้องมี spirit ในการทำงาน ดังนั้นถ้าจีบควรจีบแบบเนียนๆ อย่าให้ใครรู้จะดีที่สุด หรือถ้ารู้ ก็อย่ารู้วงกว้างมากไป เดี๋ยวเลิกกันจะลำบากตอบคำถาม
ที่มา: น้อง CUPID
Subscribe to:
Posts (Atom)