ผมได้อ่านหนังสือเรื่อง “พ่อรวยและพ่อจนสอนลูก” ผมชอบอยู่บทเรียนหนึ่งที่กล่าวว่า “คนส่วนใหญ่ตั้งใจทำงานหาเงินเพื่อตอบสนองความต้องการส่วนตัว แต่มีคนส่วนน้อยที่ตั้งใจที่จะเก็บเงินเพื่อให้เงินทำงานแทนเรา” ผมยอมรับว่าการตัดกิเลส ความอยากได้ไม่สิ้นสุด เป็นเรื่องยาก อาจต้องศึกษาทฤษฎีเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง หรืออาจถึงกับต้องศึกษาพุทธศาสานา ในเรื่องการเดินสายกลาง เพื่อที่จะตัดกิเลสความอยากได้ให้ได้ เพราะเมื่อใดก็ตามที่เราใช้เงิน ไปตอบสนองความต้องการส่วนตัว ในเรื่องที่ไม่จำเป็น เราจะสูญเงินที่สามารถทำงานแทนเราได้ตลอดชีวิต เสียดายแทนครับ
ทำไมต้องให้เงินทำงานแทนเรา คำตอบชัดเจนในตัวเอง คือเราต้องการอิสรภาพทางการเงิน และเมื่อใดก็ตามที่เราให้เงินทำงานหาเงิน จนพอค่าใช้จ่ายของเรา เราจะไม่ต้องกังวลเรื่องการหาเงินด้วยตนเองอีกต่อไป ถึงเวลานั้นลาออกจากงานประจำ เลิกทำธุรกิจส่วนต้ว แล้วมาหาความสุขกับชีวิตดีกันดีกว่า
“วิธีที่จะให้เงินทำงาน (หาเงิน) แทนเราก็คือการนำเงินที่หามาได้ไปลงทุนซื้อทรัพย์สินเพื่อให้ทรัพย์สินนั้นสร้างผลตอบแทนให้เรา”
คนส่วนใหญ่นำเงินไปตอบสนองความต้องการตัวเองก่อน ด้วยการซื้อสิ่งของที่อาจไม่จำเป็นในชีวิต ซึ่งบางครั้งเป็นการสร้างภาระ เช่นนำไปซื้อรถแพงๆ เปลี่ยนมือถือเป็นว่าเล่น หรือตามเทคโนโลยีจนเหนื่อย ลองคิดดูว่าที่ผ่านมา เราสูญเงินไปกับเรื่องไม่จำเป็นมากน้อยแค่ไหน และหากเปลี่ยนสิ่งของเหล่านั้นมาเป็นเงิน เราจะได้เท่าไร ไม่ต้องนึกถึงว่าเงินเหล่านั้น จะมาสร้างผลตอบแทนได้เท่าไรในอนาคต เราจะเปลี่ยนแนวทางการใช้เงินวันนี้ หรือจะรอจนเราต้องถูกบังคับให้เปลี่ยน และมันมักจะสายเกินไป
แล้วจะลงทุนอะไรละ หลายคนอาจเข้าใจผิดว่าการนำเงินไปฝากธนาคารและได้ดอกเบี้ย 2% - 3% เป็นการลงทุน ซึ่งไม่ใช่ นั้นเรียกว่าการออม การลงทุนคือการนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น และได้
ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น เช่นการซื้อตราสารหนี้ หรือซื้อหุ้น อย่างไรก็ตามท่านอาจเป็นคนหนึ่งที่บอกว่า ฉันพอใจกับผลตอบแทน 2% - 3% ไม่อยากจะเสี่ยงอะไร แต่อย่าลืมนะครับว่าเราจะต้องเสียภาษีดอกเบี้ย 15% ซึ่งนั้นหมายถึงเราจะได้ผลตอบแทนสุทธิเพียง 1.7% - 2.55% เท่านั้น แต่พิจาณาเงินเฟ้อในประเทศระยะยาวที่ประมาณ 3% การฝากเงินไว้กับธนาคารจะทำให้เราขาดทุนตลอดเวลา เนื่องจากผลตอบแทนไม่คุ้มค่าเงินเฟ้อ แล้วหากยังคงเป็นเช่นนี้ จะเกิดอะไรขึ้น เราก็จะต้องทำงานหาเงินมาเพิ่มตลอดเวลา เกษียณเมื่อไรก็ไม่รู้ ดังนั้นสิ่งที่ท่านต้องให้ความใส่ใจคือการลงทุนในสินทรัพย์เพื่อให้เงินทำงานแทนเราบ้าง และให้ทำงานตลอด 24 ชั่วโมงไม่มีวันหยุด ใช้เงินเยี่ยงทาสก็ว่าได้ครับ รับรองเงินไม่บ่นให้คุณได้ยินสักคำ
หุ้นเป็นทางเลือกหนึ่งที่ดีที่สุดในการให้เงินทำงาน หลายคนบอกว่ามีความเสี่ยง แต่หากเราลงทุนระยะยาวและต่อเนื่อง ความเสี่ยงดังกล่าวจะลดลงอย่างมหาศาล นอกจากนั้นความเสี่ยงยังอยู่ที่เราไม่มีความรู้เรื่องหุ้นด้วย และหากเรามีความรู้มากขึ้น ความเสี่ยงจะลดลงได้เช่นกัน ลองย้อนกลับไป 30 ปีที่แล้ว (ผ่านทั้งวิกฤติต้มยำกุ้ง วิกฤติ subprime ในสหรัฐฯ) ไม่ว่าคุณจะลงทุนอะไรก็ตาม หุ้นเป็นทรัพย์สินที่ให้ผลตอบแทนมากที่สุดเฉลี่ยปีละ 14% (รวมเงินปันผล) ขณะที่ลงทุนในตราสารหนี้เอกชนได้ 8% ต่อปี และฝากเงินในธนาคารได้ 5% ต่อปี คิดต่อไปหากย้อนเวลากลับไปได้ 30 ปี คุณกับเพื่อนคุณตอนนั้นมีอายุ 30 ปี มีเงินเดือน 1 หมื่นบาทเท่ากัน ให้เงินเดือนเพิ่มขึ้นปีละ 5% แต่คุณแบ่งเงิน 20% ของเงินเดือนมาลงทุนหุ้น แต่เพื่อนคุณแบ่งเงิน 20% มาออมเงินโดยฝากธนาคาร คุณทราบไหมครับว่าจะเกิดอะไรขึ้น คุณจะมีเงินทั้งสิ้น 14.18 ล้านบาทตอนคุณอายุ 60 ปี แต่เพื่อนคุณจะมีเงินแค่ 3.12 ล้านบาท (ไม่รวมภาษีดอกเบี้ยที่เพื่อนคุณต้องเสียอีก) เห็นความแตกต่างไหมครับ แล้วคุณจะไม่เริ่มศึกษาการลงทุนในหุ้นเชียวหรือครับ รับรองการลงทุนหุ้น มีทั้งวิธีแบบง่ายที่สุด แบบที่เรายอมรับว่าเราไม่มีความรู้ จนถึงแบบยากที่สุด ที่ทำให้นักลงทุนหุ้นหลายคน กลายเป็นคนที่รวยอันดับต้นๆ ของโลกหรือของประเทศเลยทีเดียว
ที่มา: คุณกวี ชุกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บมจ หลักทรัพย์ กสิกรไทย
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment