5 คำแนะนำสำหรับการลงทุนในหุ้น และ Economic Moat กับความได้เปรียบทางการแข่งขันของบริษัท
การลงทุนในหุ้น คือการซื้อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนซึ่งให้สิทธิการเป็นเจ้าของในบริษัทนั้นๆ ตามจำนวนหุ้นที่ถือครอง แม้คำว่า “งบการเงิน” และ “การบัญชี” อาจจะทำให้หลายคนรู้สึกกลัวและไม่อยากทำความเข้าใจกับมัน แต่นี่คือภาษาทางธุรกิจซึ่งนักลงทุนจำเป็นต้องรู้ก่อนจะลงทุนในหุ้นของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง อย่างไรก็ตาม นักลงทุนไม่จำเป็นต้องมีความรู้อย่างนักบัญชี หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนก็สามารถที่จะเข้าใจพื้นฐานของงบการเงินที่สำคัญสามอย่าง คือ งบกำไรขาดทุน งบดุล และงบกระแสเงินสด ที่ช่วยแสดงถึงผลการดำเนินงานและความมั่งคั่งของบริษัทได้
เมื่อนักลงทุนคิดว่าตัวเองได้พบบริษัทที่มีประสิทธิภาพ (เหนือกว่าบริษัททั่วไป) แล้ว สิ่งต่อมาที่นักลงทุนควรค้นหาก็คือ ราคาตลาดตอนนี้เป็นราคาที่นักลงทุนควรจะเข้าไปซื้อหรือไม่ เช่นเดียวกับการซื้อสินค้าเราคงไม่อยากซื้อสินค้าที่ดี แต่ราคาแพงเกินกว่าที่ควรจะเป็น หุ้นก็เช่นเดียวกัน นักลงทุนคงไม่ต้องการซื้อบริษัทในราคาที่แพงเกินความเป็นจริง
การจะค้นพบบริษัทที่มีประสิทธิภาพที่เหนือกว่าบริษัททั่วไปนั้น นักลงทุนจะต้องทำการบ้านหนักพอสมควรในการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท ประกอบกับนักลงทุนบางคนอาจมองว่าการลงทุนด้วยตัวเองจะทำให้ไม่สามารถกระจายความเสี่ยงของพอร์ตโฟลิโอได้เท่าที่ควร ทางออกที่นักลงทุนเหล่านี้เลือกจึงเป็นการลงทุนในกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นแทนการลงทุนในหุ้นรายตัว อย่างไรก็ตาม หากนักลงทุนต้องการจะเพิ่มหุ้นเฉพาะตัวลงไปในพอร์ตการลงทุน มอร์นิงสตาร์ได้แนะนำแนวทางการลงทุนไว้ 5 ข้อด้วยกัน คือ
1. มองหาบริษัทที่มี Wide Moat (Moat ในที่นี้หมายถึงความได้เปรียบทางการแข่งขันของบริษัท)
ก่อนอื่น เรามาทำความรู้จะกับคำว่า Economic Moat กันก่อน คำนี้เป็นคำที่ตั้งขึ้นโดย วอเรน บัฟเฟต ซึ่งเป็นตัวบ่งบอกว่าบริษัทมีความสามารถในการแข่งขัน (competitive advantage) มากน้อยและยั่งยืนเท่าใด บริษัทที่มี Wide moat มักอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีความได้เปรียบในการทำกำไร และเป็นบริษัทที่มีปัจจัยทางโครงสร้างที่ทำให้ได้เปรียบคู่แข่งในระยะยาว บริษัทเหล่านีจึงเป็นบริษัทที่นักลงทุนสามารถที่จะคาดการณ์ผลกำไรในอนาคตได้ อีกทั้งบริษัทจะมีผลตอบแทนของเงินทุน (Return on Capital) ที่สูงกว่าต้นทุนของเงินทุน (Cost of Capital) และสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
ข้อได้เปรียบของบริษัทที่มี Wide moat นั้นคือ มีความเป็นไปได้สูงที่เมื่อเวลาผ่านไปมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทจะเพิ่มขึ้นและทำให้มูลค่าในส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มตามไปด้วย พูดได้ว่าเวลาเป็นตัวช่วยส่งเสริมบริษัทเหล่านี้ แต่ในทางกลับกัน หากนักลงทุนซื้อหุ้นในบริษัทที่ไม่มี Wide moat เมื่อเวลาผ่านมูลค่าหุ้นของบริษัทอาจลดลง การซื้อหุ้นพวกนี้ก็เหมือนกับว่านักลงทุนกำลังคาดหวังให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นมากพอจนนักลงทุนสามารถขายเพื่อทำกำไร หรือที่เรียกว่าการเก็งกำไรนั่นเอง แม้ว่ามอร์นิ่งสตาร์เองยังไม่ไม่มีการให้อันดับ Economic Moat สำหรับหุ้นไทยเหมือนในต่างประเทศ แต่ว่านักลงทุนก็สามารถวิเคราะห์จากบริษัทที่คุณสนใจอยู่ได้เองว่ามี Moat หรือไม่ โดยดูจากงบการเงิน และหลายๆปัจจัย เช่น มูลค่าและความยั่งยืนของสินทรัพย์ไม่มีตัวตน (ยี่ห้อ สิทธิบัตร ฯลฯ) ความได้เปรียบด้านต้นทุน (cost advantage) เครือข่ายของผู้บริโภค (network effect) ต้นทุนในการเปลี่ยนการใช้สินค้าหรือบริการของผู้บริโภค (switching cost) และธุรกิจที่เป็นผู้นำในตลาดที่มีขนาดจำกัด (efficient scale)
2. ลงทุนเฉพาะในหุ้นที่เห็นว่ามี Margin of Safety
ในการซื้อหุ้น แทนที่เราจะซื้อหุ้นตามคนส่วนใหญ่ เราควรจะซื้อหุ้นที่เราเห็นว่าราคาตลาดขณะนั้นตำกว่ามูลค่ายุติธรรม (Fair value) หรือมูลค่าที่แท้จริงที่เราประเมินไว้ การซื้อหุ้นแบบนี้ ส่วนต่างของราคาที่จ่ายกับมูลค่าที่แท้จริงของหุ้นที่ได้รับจะถือเป็นกำไรของนักลงทุน ที่เราเรียกว่า Margin of Safety โดยนักลงทุนไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงเรื่องทิศทางโดยรวมของตลาดหุ้นเพราะไม่มีใครสามารถคาดการณ์ตลาดได้ถูกต้องตลอดเวลา ดังนั้นในการซื้อหุ้นนักลงทุนควรต้องฝึกฝนอย่างมีวินัยและต้องไม่กลัวว่าจะพลาดโอกาสหากไม่ซื้อหุ้นในช่วงที่ตลาดขึ้น ความอดทนจึงถือเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับนักลงทุน เนื่องจากหุ้นดีๆอาจต้องใช้เวลาหลายเดือนหรือนานกว่านั้นกว่าที่จะแสดงให้เห็นถึงมูลค่าที่แท้จริงของมัน
แน่นอนว่า ในการจะตรวจสอบหุ้นที่ซื้อขายกันในตลาดว่ามี Margin of Safety เพียงพอหรือไม่นั้น นักลงทนต้องประมาณการณ์มูลค่าที่แท้จริงของหุ้นตัวนั้นเสียก่อน และกำหนด Margin of Safety ที่นักลงทุนต้องการก่อนซื้อหุ้น ถ้าหากบริษัทมีความเสียงไม่มากนัก นักลงทุนอาจต้องการซื้อในราคาที่ถูกกว่ามลค่าที่แท้จริงประมาณ 15-20% แต่ถ้าบริษัทมีความเสี่ยงมาก คุณอาจต้องการซื้อในราคาที่ถูกกว่ามูลค่าที่แท้จริงประมาณ 30-40% ซึ่งค่าของ Margin of Safety นี้จะเปลี่ยนไปตามความต้องการของนักลงทุนแต่ละคน
การซื้อหุ้นโดยใช้หลัก Margin of Safety นั้นก็เหมือนกับว่านักลงทุนได้สร้างหลักประกันไว้ส่วนหนึ่งแล้ว หากเกิดกรณีที่การประเมินมูลค่าหุ้นของนักลงทุนผิดพลาดไปนักลงทุนก็อาจจะไม่เสียหายมากนัก นอกจากนี้ หากนักลงทุนซื้อหุ้นในบริษัทที่มี Widemoat มูลค่าหุ้นของนักลงทุนก็มีโอกาสที่จะเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ดังนั้น แม้ว่านักลงทุนจะทำการประเมินมูลค่าหุ้นพลาดไปบ้าง แต่ท้ายที่สุด มูลค่าของหุ้นก็จะยังเพิ่มขึ้นไปจนถึงมูลค่าที่แท้จริง การซื้อหุ้นบริษัทที่มี Widemoat นั้นจึงเปรียบได้กับการเพิ่ม Margin of Safety เข้าไปในการลงทุนด้วยอีกทางหนึ่ง
3. อย่ากลัวที่จะถือเงินสด
การถือเงินสดนั้น เปรียบเหมือนการมีทางเลือกที่จะหาประโยชน์จากความผันผวนของตลาด มูลค่าของทางเลือกนี้จะเพิ่มขึ้นเมื่อความผันผวนของตลาดมากขึ้น นั่นก็คือ ภาวะที่ตลาดมีความผันผวนนั้นอาจเปิดโอกาสให้นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นในบริษัทที่มี Wide moat ที่ราคาตลาดได้ปรับตัวลดลงได้ทันที เนื่องจากนักลงทุนมีเงินสดในมืออยู่แล้ว
นักลงทุนหลายคนมักจะละเลยข้อสำคัญในการลงทุนข้อนี้ไปและเลือกที่จะลงทุนให้เต็มวงเงินที่มีสำหรับพอร์ตโฟลิโอโดยไม่ถือเงินสดไว้ หรือแม้แต่นักการเงินที่รับบริหารเงินให้นักลงทุนก็ยังรู้สึกว่าพวกเขาควรจะลงทุนเต็มจำนวนอยู่ตลอดเวลาแม้ว่ายังไม่มีโอกาสซื้อที่เหมาะสมก็ตาม ดังนั้น เมื่อตลาดอยู่ในช่วงขาลง พวกเขาจึงได้แค่มองดูอยู่เฉย ๆ (หรือที่แย่ไปกว่านั้น อาจจะขายหุ้นทิ้งในราคาที่เกือบต่ำสุด)
4. อย่ากลัวที่จะถือหุ้นเพียงไม่กี่ตัว
วอเรน บัฟเฟต กล่าวว่า “เขามีความสุขแม้ว่าจะถือหุ้นเพียงแค่ตัวเดียว” แต่สำหรับนักลงทุนทั่วไปนั้น การมีหุ้นสัก 5-6 ตัวในพอร์ตโฟลิโออาจเป็นความคิดที่ดี ถ้าในกรณีที่นักลงทุนรู้สึกว่าเขาต้องการถือหุ้นมากกว่า 20 ตัวซึ่งอาจไม่ได้เป็นไปตามแบบ Value Investing (การลงทุนแบบเน้นคุณค่า) และวิธีของมอร์นิ่งสตาร์ อาจเป็นไปได้ว่านักลงทุนกำลังซื้อหุ้นเพื่อเก็งกำไรและพยายามกระจายความเสี่ยงของการเก็งกำไรโดยการถือหุ้นหลายตัว อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรจะเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า ความเสียงจะเพิ่มขึ้นหากพอร์ตโฟลิโอมีการกระจุกตัวมากเกินไป เว้นไว้เสียแต่ว่านักลงทุนจะลงทุนตามวิธีต่อไปนี้
1. ซื้อหุ้นบริษัทที่มี Wide moat เท่านั้น ซึ่งมูลค่าที่แท้จริงจะเพิ่มขึ้นตามเวลา
2. ซื้อหุ้นเหล่านั้น เมื่อราคาต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรม (Margin of Safety)
3. ระยะเวลาการลงทุนควรมีอย่างน้อย 3 ปีสำหรับการลงทุนในหุ้นแต่ละตัว และต้องไม่ลืมว่าหุ้นอาจใช้เวลาซักระยะกว่าที่ตลาดจะสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของบริษัท
ถ้านักลงทุนไม่ต้องการทำตามวิธีสามข้อนี้ในหุ้นทุกตัวที่ซื้อ นักลงทุนอาจต้องกระจายความเสี่ยงของการลงทุนในพอร์ตโฟลิโอให้มากขึ้น
5. อย่าซื้อขายบ่อย
ถ้านักลงทุนใช้วิธีที่กล่าวมาข้างต้นนี้ นักลงทุนก็ไม่จำเป็นต้องซื้อขายบ่อยเพราะได้ลงทุนเฉพาะในบริษัทที่มีลักษณะ Wide moat ซึ่งมีความได้เปรียบทางการแข่งขันในระยะยาว และสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ถือหุ้นไปเรื่อยๆ เนื่องจากมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หุ้นลักษณะนี้จึงเหมาะกับการลงทุนแบบซื้อแล้วถือไว้ (buy-and-hold) มากกว่า
ว่ากันตามจริงแล้ว ไม่ว่านักลงทุนจะเก่งแค่ไหนก็ไม่สามารถคาดการณ์มูลค่าที่แท้จริงของหุ้นได้อย่างถูกต้อง นักลงทุนทำได้แค่ประเมินมูลค่าของหุ้นภายใต้สภานการณ์การเติบโตของกำไรในอนาคต กล่าวง่ายๆคือ โอกาสที่นักลงทุนจะประเมินมูลค่าหุ้นให้ถูกต้องนั้นเป็นไปได้ยาก ดังนั้นการที่นักลงทุนจะขายหุ้นตัวหนึ่งเพื่อไปซื้ออีกตัวหนึ่งนั้นอาจจะไม่คุ้มค่าเลยเพราะนักลงทุนเองก็ไม่สามารถตอบได้ว่าตัวเองประเมินมูลค่าหุ้นตัวไหนได้ถูกต้องมากน้อยอย่างไร
ยิ่งพอรวมต้นทุนในการซื้อขายแต่ละครั้ง ซึ่งรวมถึง ภาษี ส่วนต่างระหว่างราคาเสนอซื้อและเสนอขาย (bid–ask spreads) และค่านายหน้าเข้าไป โอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นจากการซื้อขายบ่อยๆ ก็ยิ่งน้อยกว่าการซื้อหุ้นในบริษัทที่มีลักษณะ Wide moat แล้วก็ถือหุ้นแบบนี้ในระยะยาวเสียอีก
ที่มา: Morningstar Thailand Analysts
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment